การเมืองไทยไม่ลงตัวมากว่า 100 ปี ถ้านับตั้งแต่กบฏหมอเหล็ง เมื่อต้นรัชกาลที่ 6 ทำให้ประเทศเสียโอกาสไปมากและสะสมปัญหาต่างๆจนประเทศไทยติดอยู่ใน “หลุมดำ” แห่งวิกฤตการณ์เรื้อรังออกมาไม่ได้ จนมีผู้พูดว่า “คนไทยเหมือนไก่อยู่ในเข่ง”

คือ...รอถูกเชือดหมดทุกตัว แต่ยังจิกตีกันอยู่ร่ำไป

ที่จะออกจาก “เข่ง” ได้ ต้องรู้ว่า เข่งคืออะไร? และรวมตัวกัน ออกจากเข่ง ศ.นพ.ประเวศ วะสี มองว่า หลังเลือกตั้งพรรคใหญ่ที่ได้ ส.ส.มาจำนวนมาก พวกหนึ่งก็รวมตัวกันเป็นรัฐบาล อีกพวกหนึ่งก็เป็น ฝ่ายค้าน แล้วก็เป็นไปคล้ายๆเดิม ไม่สามารถพาชาติออกจากวิกฤติได้

ประเวศ วะสี
ประเวศ วะสี

กุญแจที่จะพาชาติออกจากวิกฤติ คือ ผู้นำทางการเมืองที่มีความเป็นผู้นำอย่างแท้จริง ขับเคลื่อน P4 ...พรรคเล็กหลายพรรคมีผู้นำทางการเมืองที่เข้าข่ายหรือมีศักยภาพ มีความเป็นผู้นำอย่างแท้จริง ผู้นำเหล่านี้แม้คนเดียวหรือ 3-4 คน รวมตัวกันขับเคลื่อน P4 ก็จะพาชาติออกจากวิกฤติได้

...

P4 ก็คือ Participatory Public Policy Process หรือ “กระบวนการนโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วม” นั่นเอง

นโยบายสาธารณะเป็นปัญญาสูงสุดของชาติใดชาติหนึ่ง เพราะมีผลกระทบอย่างถึงขั้น “หายนะ” หรือ “วัฒนะ” ขึ้นอยู่กับว่าดีหรือไม่ดี

“ประเทศไทยเกือบไม่มีความสำเร็จในเรื่องนโยบายเลย ประเทศจึงวิกฤติ ที่ไม่สำเร็จก็เพราะขาดความเข้าใจในระบบนโยบายครบวงจร ทำเป็นส่วนๆหรือบางส่วน นโยบายไม่ใช่สโลแกนหรือทำเรื่องจิปาถะแบบแจกเงิน ผู้นำทางการเมืองไม่ใช่ผู้บริหารจิปาถะอย่างที่ทำๆกัน แม้ขยัน ประเทศก็ไม่ประสบความสำเร็จ”

ผู้นำที่แท้ต้องนำการขับเคลื่อน “กระบวนการนโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วม” หรือ “P4”... เป็นกระบวนการที่คนทุกภาคส่วนในสังคม มีส่วนในกระบวนการนโยบายทุกขั้นตอนครบวงจร

จึงเป็นประชาธิปไตยอย่างยิ่ง...เป็นกระบวนการสร้างปัญญาร่วม...เป็นกระบวนการจัดการที่ทรงพลัง

เมื่อทำครบวงจรก็จะสำเร็จทุกเรื่อง จึงเรียกว่า “สัมฤทธิศาสตร์”... เมื่อประเทศมีความสำเร็จในนโยบายทุกเรื่อง วิกฤติชาติก็ยุติ....“เมื่อผู้นำพรรคเล็กนำการขับเคลื่อนกระบวนการนโยบายสาธารณะ ก็เท่ากับ การสร้างประชาธิปไตยที่แท้ สร้างประชาธิปไตยอรรถประโยชน์มีผลสำเร็จใหญ่โดยไม่ต้องเป็นรัฐบาล”

เพราะการเมืองคือระบบนโยบายที่ใครๆควรมีส่วนร่วมโดย ไม่จำเป็นต้องเป็นรัฐบาล แต่รัฐบาลจะร่วมทำด้วยก็ได้
หัวหน้าพรรคการเมืองควรศึกษาวิธีขับเคลื่อนระบบนโยบายจนเข้าใจแจ่มแจ้ง พรรคการเมืองของท่านจะกลายเป็นสถาบันพัฒนานโยบาย และสมาชิกพรรคจะกลายเป็นนักขับเคลื่อนระบบนโยบาย

เมื่อ “พรรคการเมือง” กลายเป็นสถาบันพัฒนานโยบายและ “นักการเมือง” กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในการขับเคลื่อนระบบนโยบาย จะ...พลิกโฉมประเทศไทย

และ...เมื่อคนไทยทั้งประเทศมีความมุ่งมั่นร่วมกัน ประเทศก็จะมีพลังมหาศาลที่จะเคลื่อนไปข้างหน้านำนโยบายสู่การตัดสินใจทางการเมือง ซึ่งจะค่อนข้างง่ายเมื่อผ่านกระบวนการข้างต้นมาแล้ว

...นำนโยบายที่ผ่านการตัดสินใจทางการเมืองมาแล้ว มาบริหารจัดการสู่ความสำเร็จ ภายใต้การขับเคลื่อนระบบนโยบายครบวงจร 12 ขั้นตอน...ซึ่งจะแยกย่อยเป็น การสังเคราะห์นโยบาย 4 ขั้นตอน, การตัดสินใจนโยบาย 1 ขั้นตอน, การบริหารจัดการนโยบายไปสู่ความสำเร็จ 7 ขั้นตอน

เดินหน้าไปสู่ความสำเร็จ...ก็จะสำเร็จทุกเรื่อง ไม่มีอะไรไม่สำเร็จ

จึงเรียกกระบวนการนี้ว่า...“สัมฤทธิศาสตร์” เป็นกระบวนการประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมสู่ความสำเร็จ ที่คนทุกภาคส่วนในสังคมมีส่วนร่วม เป็นประชาธิปไตยทั้งทางตรงและทางอ้อมมาบรรจบกัน

นี่คือ...คำตอบประเทศไทย

“...ที่พรรคการเมืองขนาดเล็ก แต่มีผู้นำที่มีความเป็นผู้นำสูงสามารถทำได้โดยไม่ต้องเป็นรัฐบาล แต่สร้างกระบวนการใหญ่ที่ทุกคนมีส่วนร่วมได้ รวมทั้งรัฐบาลด้วย”

นี่คือ “ประชาธิปไตยทางสายกลาง” ที่ไม่แยกข้างแยกขั้วเป็นปฏิปักษ์ต่อกันซึ่งไม่ได้ผลแล้ว แต่เป็นทางสายปัญญาไมตรีจิต เป็นความร่วมมือ ซึ่งเป็นพลังสร้างสรรค์มหาศาล และพลังแห่ง ความสุขของคนไทยทุกคนร่วมกัน

ถึงตรงนี้ ศ.นพ.ประเวศ ขออวยพรให้คนไทยสร้างความเป็น ธรรมได้สำเร็จ ซึ่งการสร้างความเป็นธรรมในสังคมไทยให้สำเร็จเป็นสิ่งยิ่งใหญ่ที่สุด ที่ไม่เคยมีใครทำสำเร็จ ดูสหรัฐอเมริกาที่มีอยู่ได้รับรางวัลโนเบลจำนวนสูงสุด ขณะนี้เหลื่อมล้ำสุดๆ

“การต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม” เป็นวิถีทางหนึ่ง

“การรวมตัวกันทำสิ่งใหม่ที่ดี” เป็นอีกวิถีทางหนึ่ง อาจทำทั้งสองวิธีก็ได้

ย้ำว่า...อุดมคติเป็นสิ่งดีแต่อย่างเดียวไม่พอ ต้องมีปัญญาเชิงระบบ และการจัดการที่ดีด้วย การเรียนรู้ที่ดีเป็นเรื่องที่ประเสริฐที่สุดของมนุษย์

เพราะมนุษย์มีศักยภาพในการเรียนรู้สูงสุด สามารถเรียนรู้ให้บรรลุอะไรก็ได้

การเรียนรู้ร่วมกันในการปฏิบัติ หรือการรวมตัวร่วมคิดร่วมทำ เป็นธรรมะเพื่อความเจริญ หรือ อปริหานิยธรรม ที่พระพุทธองค์ทรง สรรเสริญเป็นอันมาก แปลตามศัพท์ว่า “ธรรมะเพื่อความไม่ฉิบหาย”

ตอกย้ำ “ความเป็นธรรม” คือสิ่งใหม่ที่ดี ที่ยากที่ใครจะปฏิเสธได้ว่าไม่ดี จึงสามารถรวมตัวกันทำได้ถ้ามีการเรียนรู้ร่วมกันในการ ปฏิบัติ นอกจากข้อดีที่กล่าวมาแล้วยังเกิด ปัญญาเชิงทัศนะ

คือ...เห็นทั้งหมด หรือเห็นช้างทั้งตัว ออกจากสภาพ “ตาบอดคลำช้าง” ที่รู้เห็นช้างเป็นส่วนๆแล้วทะเลาะกันยกใหญ่เพราะรู้เห็นต่างกัน แต่ถ้าตาไม่บอดคือทัศนะดีเห็นช้างทั้งตัว ก็ไม่มีอะไรจะทะเลาะกันเพราะส่วนต่างล้วนเป็นของช้างตัวเดียวกัน

องค์รวม เช่น คน ก็ต้องมีทั้งแขนซ้ายและแขนขวา

เครื่องบินที่จะบินได้ ก็ต้องมีทั้งปีกซ้ายและปีกขวา

“ถ้ามีทัศนะองค์รวม ซ้ายกับขวาก็ไม่มีอะไรจะต้องมาตีกัน เพราะต่างเป็นขององค์รวมเดียวกัน ความขัดแย้งระหว่างซ้ายกับ ขวาบางครั้งก็ฆ่าแกงกันอย่างน่าสลดสังเวช จะถึงคราวสิ้นสุดลงด้วยปัญญาเชิงทัศนะ”

ปัญญาเชิงทัศนะจะพลิกโฉมประเทศไทย การรวมตัวกันทำสิ่งใหม่ที่ดี สามารถสร้างทัศนะใหม่ได้...สู่ความเป็นธรรม ไม่มีการ แบ่งข้างแบ่งขั้วและเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน

เมื่อถึงเวลานั้น “คนไทย” ทั้งรุ่นเก่ารุ่นใหม่ล้วนเป็นเพื่อน ร่วมชาติ ไม่มีใครชังชาติ เราต้องร่วมกันเดินทางสู่อนาคตที่ดีของเราร่วมกัน.