“พิธา” ไม่เสียสมาธิถูกร้องปมหุ้นสื่อ ลั่น มั่นใจ 100% ไม่มีทางซ้ำรอยเดียวกับ “ธนาธร” และอนาคตใหม่ ชี้ เป็นแคนดิเดตนายกฯ ต้องพร้อมถูกตรวจสอบ แม้ถูกตัดสิทธิ ส.ส. ยังเป็นนายกฯ-รัฐมนตรีได้

เมื่อเวลา 16.45 น. วันที่ 11 พฤษภาคม 2566 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์เดี่ยวผ่าน เริ่มใหม่ไทยแลนด์ ไทยรัฐทีวี โดยมี จอมขวัญ หลาวเพ็ชร์ เป็นผู้ดำเนินรายการ ถึงหลายประเด็น โดยในช่วงต้นกล่าวถึงประเด็นหุ้น itv ที่ถูกร้อง ว่า มั่นใจและไม่กังวลใจ หรือหวั่นไหว ถ้ามีหมายเรียกจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก็พร้อมที่จะใช้พยานหลักฐาน หักกฎหมาย ในการยืนยันกลับไป ขอให้ประชาชนตัดคำว่า “ว่าที่” ออกไปได้ ให้เป็นนายกฯ ตัวจริงของพี่น้องคนไทย และ 14  พฤษภาคมนี้ เข้าคูหากาก้าวไกลให้ถล่มทลาย 

นายพิธา กล่าวต่อไปว่า แม้ไม่กังวลแต่ก็ไม่ประมาท ที่ผ่านมาการเมืองที่มีคะแนนขึ้นมาดี ยิ่งสูงยิ่งหนาวเป็นธรรมดา การเสนอตัวเป็นแคนดิเดตนายกฯ ต้องพร้อมเอาชีวิตเข้าเครื่องเอกซเรย์อยู่แล้ว ทีมกฎหมายเตรียมไว้ตั้งแต่ปี 2561-2562 เป็นเรื่องของมรดก รอชี้แจ้งอยู่แล้ว พอมาจริงๆ จึงไม่ได้รู้สึกอะไร แต่บางคนก็มีอคติส่วนตัวกับตนที่หายใจก็ผิดแล้ว ขณะเดียวกันก็มีประชาชน นักวิชาการ เอาหลักการมาพูดคุยกัน วิธีการทำการเมืองแบบเก่ามาทำในช่วงก่อนการเลือกตั้ง ประชาชนตัดสินใจได้ว่าอะไรเป็นอะไร เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ก็แจงแล้ว อีกทั้งมั่นใจว่าครอบงำสื่อไม่ได้อยู่แล้ว และในฐานะที่เป็นกองมรดกด้วย 

ย้อนไปในช่วงเวลาเลือกตั้งปี 2562 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ก็มั่นใจไม่แพ้กัน แต่สุดท้ายก็โดนตัดสิทธิ ถ้ามีบทเรียนมาแล้วทำไมไม่เลือกกำจัดอุปสรรคที่อาจจะใช้ในการทำลายออกไปก่อน นายพิธา ตอบว่า ตนเองกับนายธนาธร โดนรังแกเหมือนกัน แต่ผลลัพธ์ไม่เหมือนกัน เพราะรายละเอียดแตกต่างกันมากพอสมควร และคิดว่าไม่มีความจำเป็นต้องไปตกหลุม ต้องรอดูคำร้องจาก กกต. ก่อนถ้ามี พร้อมชี้แจง คิดว่าตอนนี้ไม่มีความจำเป็นต้องไปสืบความยาวสาวความยืด จนเสียสมาธิใน 2-3 วันสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง ต้องทำให้ประชาชนเชื่อมั่น มีความหวังในการเมืองที่จะนำเสนอ

...

ส่วนคำถามว่าทำไมมั่นใจว่าจะรอด แคนดิเดตนายกฯ พรรคก้าวไกล ตอบว่า ในเงื่อนไขกฎหมายมั่นใจ ส่วนอำนาจก็อยู่กับคนที่ควบคุมการเลือกตั้ง กกต. ต้องทำให้การเลือกตั้งบริสุทธิ์ ยุติธรรม สะดวกกับประชาชน คิดว่าเรื่องของตัวเองเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยมาก ไม่คิดว่าจะเปรียบกับนายธนาธร ได้ 100% เพราะรายละเอียดแตกต่างกัน ทำให้มั่นใจ

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์

รู้ตัวเป็นเป้าทางการเมือง

นายพิธา ยังยอมรับว่า เข้าใจที่ตัวเองกลายเป็นเป้า เพราะการเป็นนักการเมือง บวกกับประสบการณ์ที่เคยเห็นผ่านมา มีสิ่งที่เราต้องพร้อมยอมรับการตรวจสอบ การวิจารณ์อย่างมีวุฒิภาวะ สามารถที่จะตอบสนอง ไม่ได้ตอบโต้อย่างเดียว เราต้องตอบสนองความเดือดร้อนประชาชน ทำให้เขามั่นใจว่าผ่านการเลือกตั้ง 14 พฤษภาคมไป เขาจะได้อะไรในการเลือกพรรคก้าวไกล จึงไม่ขอเสียเวลาตอบโต้หรือเลือกเล่นเกมตามเขา อีกทั้งยังไม่เห็นคำร้องจึงไม่รู้จะตอบโต้เรื่องอะไร 

จอมขวัญ ตั้งคำถามต่อไปว่า ถ้าต้องเจอบทสรุปเดียวกับนายธนาธร พรรคก้าวไกลอาจเจอบทสรุปเดียวกับพรรคอนาคตใหม่ ได้เตรียมการเอาไว้หรือไม่ นาพิธา ย้ำว่า ไม่กังวลแต่ไม่ประมาท ต้องมีบทเรียนในการต้องเตรียมตัว การวางแผนเพื่อป้องกันตัวเองโดยที่ไม่ประมาท ไม่มีช่องว่างให้เกิดขึ้น จึงได้เตรียมทีมกฎหมาย ทีมทนายความ กำชับกับผู้สมัครอะไรที่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดกฎหมาย ตัดความเสี่ยงลง ทำให้ราคาที่จะต้องจ่ายของผู้มีอำนาจที่จะเล่นเกมแบบเดิมๆ มันสูงจนไม่สามารถทำได้ แต่ก็หวังว่าสักวันหนึ่งถ้าได้สัมภาษณ์ในอีก 4 ปี 8 ปีข้างหน้า จะไม่ต้องมาคุยกันเรื่องยุบพรรคกันง่ายๆ ตัดสิทธิกันง่ายๆ แบบนี้อีก เพราะไม่ควรเกิดขึ้นกับระบบการเมือง และแคนดิเดตนายกฯ คนไหน 

กรณีถ้าถูกตัดสิทธิจริง คนถัดไปจะเป็นใคร ได้คำตอบจาก นายพิธาว่า “ไม่มีสิทธิโดนตัดสิทธิ ป.ป.ช. ออกแล้วว่าผมไม่ได้ซุกหุ้น แต่เรื่องหุ้นอย่างมากที่สุด worst case ของ worst case (กรณีเลวร้ายที่สุด) ก็คือตัดสิทธิ ส.ส. แต่ยังเป็นนายกฯ ได้อยู่ เป็นรัฐมนตรีได้อยู่ เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่ามันจะแย่ของแย่ที่สุด และก็ไม่ใช่สิ่งที่จะต้องกังวลอะไร ในส่วนที่ 2 ใครจะมาแทน เป็นคำถามที่แฟร์ และไม่ได้อันตรายหรือน่ากลัว เพราะเราทำงานกันเป็นทีม พรรคก้าวไกลเป็นสถาบันทางการเมืองที่ไม่อยากยึดติดกับบุคคล กับธนาธร กับพิธา ส่วนหนึ่งของการเป็นผู้นำ พรรคตั้งใจที่จะทำให้มีผู้นำมากขึ้นเรื่อยๆ สมมติผมเป็นนายกฯ 2 สมัย 8 ปี ก็ต้องไปจากการเมืองอยู่ดี เพราะรัฐธรรมนูญบอกไว้อย่างนั้น ขณะเดียวกันก็ต้องมีคนรุ่นใหม่เข้ามา ไม่อยากให้เป็นพรรคการเมืองที่คุณธนาธรหายไปแล้ว ความฝันดับสลายหายไปกับคุณธนาธรด้วย ไม่มีใครฝากความหวังไว้กับคนคนเดียวอยู่แล้ว เตรียมผู้นำคนต่อไป มีหลายคนอยู่ และข้อเท็จจริงสมมติครบ 8 ปี คุณธนาธรก็กลับมาเล่นการเมืองได้ เป็นชอยส์ที่ 1 ยังมีอีกหลายคน คนก็รู้ว่าเป็นใคร แต่ละคนก็มีความสามารถที่จะมาเป็นผู้นำต่อไปได้”

นายพิธา กล่าวต่อไปว่า มั่นใจ 100% ถ้าจะเตรียมแผนอะไรไว้ ไม่ได้มาจากคดีที่จะเจออยู่ตอนนี้ ทุกวันก็คิดว่าคนนี้มีข้อดีข้อเสีย คนนี้มีความสามารถพอที่จะขึ้นมานำแทนผมได้ ให้โอกาสเขาขึ้นมาทำงานมากที่สุด ไม่ใช่เราต้องเด่นที่สุด เก่งที่สุด ดีที่สุด ต้องเป็นผู้นำที่เต็มไปด้วยผู้ตาม เราต้องเป็นผู้นำที่มีผู้นำตามเราเต็มไปหมด สร้างภาวะผู้นำคนรอบๆ เรา มั่นใจ 100% ว่า 4 ปี 8 ปี ยังมีคนชื่อพิธาอยู่ในการเมืองได้ ถ้าถามว่าต้องมีแพลนระยะสั้นถ้าเกิดอะไรฉุกเฉินหรือไม่ มี แต่ไม่ใช่เพราะความกังวลในสิ่งที่กำลังโดนรังแก 

ในเรื่องกระแสดีขึ้นเรื่อยๆ หรือไม่ นายพิธา ตอบด้วยความมั่นใจว่า รู้เพราะลงพื้นที่ เพราะเข้าไปในคาราวาน ไม่ใช่แค่เป็นนักรบห้องแอร์ ดูจากโพล หรือความรู้สึกในโซเชียล คนที่มาเขาฝากจดหมาย ความหวัง ปัญหาต่างๆ เขามีคำถามกลับมา แสดงว่าเขาอ่านนโยบายของพรรคจริง จึงมีความนิยมขึ้นมา ในคำถามว่าเชื่อหรือไม่ว่ากระแสคือเสียงจะเกิดขึ้นจริงในวันที่ 14 พฤษภาคม

นายพิธา ตอบว่า “เชื่อ แต่ว่าต้องทำงานเพิ่ม เชื่อว่ากระแสมาเยอะขึ้น แต่ว่าวิธีการคำนวณคราวนี้ มันมีที่จะชนะนิดเดียวกับแพ้นิดเดียว ถ้า 700 คะแนนก็ถือว่าแพ้ เสีย ส.ส. ที่จะไปยกมือ ยกเลิกเกณฑ์ทหาร ยกมือสมรสเท่าเทียม ยกมือสุราก้าวหน้า แม้ว่าโค้งสุดท้าย 48 ชั่วโมงสุดท้าย ก็จะไม่มีวันหยุดแม้แต่นาทีเดียว เพื่อที่จะให้เมกชัวร์ว่าที่ชนะเนิดเดียว ชนะไปถึงฝั่ง ที่แพ้นิดเดียวที่เรียกว่าตกน้ำ ต้องเติมน้ำเพื่อให้ถึงฝั่งให้ได้ สิ่งมีอยู่ในหัวอยู่แล้วว่าเขตไหน เพราะฉะนั้นในช่วงระยะเวลาที่เหลือ การปราศรัยใหญ่ หรือวันที่ 13 พฤษภาคม ถึง 6 โมง ก็เจอพิธา เพราะต้องการพลิก ต้องไม่แพ้ ผมต้องไปเหยียบ และเอาให้ชนะให้ได้ มั่นใจว่าทุกหยดที่เป็นกระแส จะกลายเป็นคะแนน แล้วก็กลายเป็นจำนวน ส.ส. ที่จะเข้าไปสร้างความเปลี่ยนแปลงในสภาฯ และรัฐบาลของก้าวไกล”

ในท้ายของช่วงแรก คำถามว่ารู้สึกอย่างไรที่ถูกพูดเรื่องรูปร่างหน้าตา การใช้ภาษา การศึกษา ทรัพย์สิน เป็นคนพูดเก่ง คำชมกึ่งเสียดสี นายพิธา ระบุว่า ไม่เชื่อ และคำพูดแบบนี้ดูถูกประชาชน เพราะคนดูที่นโยบาย การทำงานของพรรค เขาเข้าใจจุดอ่อนที่ไม่มีงบทำป้าย เขาทำให้กระดิ่งในใจของกลับมาดังขึ้นหลังจาก 8 ปีที่ผ่านมา ไม่ได้เกี่ยวข้องตนเองในลักษณะนั้น และตนเองคิดว่าประชาชนเบื่อหน่ายของคนทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ ทำไปเพื่ออะไร เขาต้องการเลือดใหม่ ลมหายใจใหม่ ที่จะทำให้ยังมีความหวังที่จะอยู่ประเทศนี้ โดยไม่ต้องย้ายประเทศ รวมถึงการจะมีโฉนดเป็นของตัวเอง สุราพื้นบ้าน ปัจจุบันการเมืองไทยไปไกลแล้ว.