บทความชิ้นนี้ผมเขียนไว้ตั้งแต่วันที่ 13 เดือนตุลาคม พุทธศักราช 2551 เป็นระยะเวลา 10 เดือนเต็ม แต่ในความรู้สึกของผมเหมือนเพิ่งเริ่มจะเกิดขึ้นกับคนไทยและประเทศไทยใน วันนี้และในอนาคต
คนสองคนทะเลาะกัน ด่ากัน ตีกัน หายโกรธต่างคนก็ต่าง แยกย้ายกันไป คนกลุ่มหนึ่งทะเลาะกัน มีกรรมการมาห้าม ได้สติ ก็เลิกรากันไป แต่ถ้าสถาบัน องค์กร หรือมวลชนทะเลาะกัน
แก้ยาก
ปัญหาวิกฤติความแตกแยกของคนไทยเวลานี้ไปไกลกว่าที่จะไกล่เกลี่ย ไปไกลกว่าที่จะหาทางลงหรือยุติปัญหา ด้วยความ ประนีประนอม และใหญ่เกินกว่าที่คนธรรมดาจะแก้ไขได้
แม้แต่กฎกติกาหรือกระบวนการยุติธรรมก็ยากที่จะเยียวยา ดังนั้น ความขัดแย้งของคนในประเทศ กำลังเดินหน้าไปสู่ ความรุนแรงและจะทวีความรุนแรงขึ้นตลอดเวลา
เป็นสงครามเลือดสีเดียวกัน
ผมเคยเกริ่นไว้หลายครั้งแล้วว่า วิกฤติการเมืองครั้งนี้จะ
นำไปสู่การสิ้นชาติ ก็ไม่มีใครฟัง วันนี้มีองค์กร มีสถาบัน มีมวลชน แยกออกเป็นสองขั้วพร้อมที่จะเข้าห้ำหั่นกันด้วยความกระเหี้ยนกระหือรือ
กำลังกลายเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน
ผมว่าประชาธิปไตยในประเทศไทยล้มเหลวโดยสิ้นเชิง อำนาจ บริหารก็ไม่มี อำนาจนิติบัญญัติก็ไม่มี แม้แต่อำนาจตุลาการก็ทำงานได้ไม่เต็มที่ รวมทั้งอธิปไตยด้วย สูญเสียการทรงตัวโดยสิ้นเชิง
ปกครองกันโดยกฎหมู่
กระบวนการยุติธรรม ตำรวจ ทหาร ฝ่ายความมั่นคง กลายเป็น สากกะเบือกันไปหมด ทำอะไรก็ไม่ได้ กลัวจะตกเป็นจำเลยของสังคม กลัวจะตกเป็นเหยื่อทางการเมือง
องค์ประกอบของประเทศล้มเหลว
ที่น่าเป็นห่วงคือสถาบันสำคัญของประเทศที่กำลังจะถูกม้วนเข้าไปในมรสุมของวิกฤติด้วย อย่าดึงฟ้าต่ำ อย่าทำหินแตก อย่าแยกแผ่นดิน ต้องท่องกันเอาไว้ให้ดี
ปรากฏการณ์ระหว่างตำรวจกับตำรวจ ปรากฏการณ์ที่ไม่ยอมรับในตัวบุคคลคณะกรรมการชุดต่างๆ ปรากฏการณ์ที่คนไทยไม่ยอมรับและเคารพการกระทำ กิจกรรม ความคิดเห็นซึ่งกันและกัน
ปรากฏการณ์ที่คนไทยกำลังว้าเหว่
รู้สึกไร้ที่พึ่ง เป็นประเทศที่ไร้วิญญาณ เรากำลังใกล้จะสิ้นชาติเข้าไปทุกที ไม่ช้าไม่นานก็จะแบ่งแยกการปกครอง ตั้งเป็นรัฐอิสระ เป็นเขตการปกครองพิเศษ ไม่มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ไม่มีเพลงชาติไทย.
...