“ธนกร” ลุยบ้านเกิดอ้อนคนนครศรีธรรมราช กาทั้งคนทั้งพรรค ให้ลุงตู่กลับมาเป็นนายกฯอีก ด้าน “อนุชา” ยันนโยบายโคล้านครอบครัว ทำได้ได้จริง ทำสำเร็จมาแล้ว 300 ครอบครัว สร้างรายได้ 10 ปี 7 ล้านบาท 

วันที่ 27 เมษายน 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายธนกร วังบุญคงชนะ รองหัวหน้าพรรค ในฐานะคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรค และประธานยุทธศาสตร์ภาคใต้ พรรครวมไทยสร้างชาติ ลงพื้นที่หาเสียงที่ อ.ร่อนพิบูลย์ และ อ.จุฬาภรณ์ จ.นครศรีธรรมราช เปิดเวทีปราศรัยช่วย นายสนั่น พิบูลย์ ผู้สมัคร ส.ส.นครศรีธรรม เขต 5 พรรครวมไทยสร้างชาติ หาเสียงเมื่อวันที่ 26 เมษายน ที่ผ่านมา โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก โดยมี นางอารีย์ ห้องสีปาน มารดานายธนกรยังได้เดินทางมาให้กำลังใจด้วย

นายธนกร ขึ้นเวทีปราศรัยว่า พรรครวมไทยสร้างชาติ มีนโยบายที่จะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเติม และยังมีอีกหลายโครงการที่จะต้องทำต่อเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและพัฒนาพื้นที่ภาคใต้ตามนโยบาย “ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ” ทั้งสานต่อนโยบายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งมีผู้ใช้สิทธิจำนวน 14.6 ล้านคน เป็นบัตรสวัสดิการพลัสเพิ่มเงินเป็น 1,000 บาท การปล่อยกู้ฉุกเฉิน 10,000 บาท เบี้ยผู้สูงอายุ 1,000 บาท ค่าตอบแทน อสม. 2,000 บาท กองทุนฉุกเฉินประชาชน 30,000 ล้านบาท ทั้งหมดอยู่ที่พ่อแม่พี่น้องชาวนครที่จะร่วมกำหนดอนาคตเพื่อจะสร้างความมั่งคั่งต่อไป 

พร้อมขอโอกาสชาวนครศรีธรรมราช วันที่ 14 พฤษภาคม เข้าคูหากาให้ทั้งคนทั้งพรรค หมายเลข 22 ให้พรรครวมไทยสร้างชาติ ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรครวมไทยสร้างชาติ และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้กลับมาสานต่อนโยบายเดิม และเพิ่มเติมนโยบายใหม่ ขอให้เชื่อมั่นและมั่นใจต่อตัว พล.อ.ประยุทธ์ ที่จะนำมาความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ประเทศและพร้อมจะทำงานต่อด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต ยึดมั่นในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ พร้อมทั้งขอบคุณพล.อ.ประยุทธ์ ที่ให้โอกาสลูกชาวบ้าน ลูกหลานชาวนครศรีธรรมราชอย่างตนเป็นรัฐมนตรี  

...

นอกจากนี้ผู้สื่อข่าวยังรายงานว่า นายอนุชา นาคาศัย ในฐานะรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ระบุถึงการออกนโยบายของพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยเฉพาะโครงการโคล้านครอบครัว ถือเป็นการต่อยอดจากการดำเนินการมาแล้วในรัฐบาล จากแนวคิดของตนในฐานะที่ตนกำกับดูแลกองทุนหมู่บ้าน โดยโครงการดังกล่าวจะเป็นโอกาสให้คนในพื้นที่รวมถึงลูกหลานคนไทยไม่ต้องเป็นแต่แรงงานกินเงินเดือนอีกต่อไป เนื่องจากสามารถเลี้ยงโคได้ที่บ้านเกิดได้  


“ที่ผ่านมา 300 ครอบครัวทำสำเร็จแล้ว และอีก 1,000 ครอบครัวที่กองทุนหมู่บ้านให้เงินยืมไปสำเร็จทั้ง 1,000 ครอบครัว ยกตัวอย่างมีหนึ่งตำบลในจังหวัดชัยนาท มีอยู่ประมาณ 2,000 ครอบครัว เลี้ยงโค 70% จากตำบลที่แห้งแล้งและยากจนที่สุด ภายใน 3 ปี กลายเป็นตำบลที่รวยที่สุด นี่คือสิ่งที่พิสูจน์แล้วว่าเราทำแล้ว และยังเป็นบทพิสูจน์ให้เห็นว่าลูกหลานไทยว่าจะกลับไปร่ำรวยที่บ้านเกิด นอกจากนี้สัตว์เหล่านี้ยังสามารถนำไปค้ำประกันเงินกู้ได้อีกตามที่ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ ทีมเศรษฐกิจของพรรคได้เตรียมเอาไว้ นั้นคือโอกาสยิ่งใหญ่ของคนไทย และรากหญ้าที่จะเข้าถึงแหล่งทุนด้วย” นายอนุชา กล่าว.