เลือกตั้ง 2566 : “ประวิตร” ยิ้มรับผลโพล ยกให้เป็นอันดับ 1 ก้าวข้ามความขัดแย้ง ด้าน “ชาญกฤช” เผย หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐขอบคุณเสียงโหวต ย้ำ อายุไม่ใช่อุปสรรค ถึงเดินช้า แต่คิดเร็วทำเร็ว

วันที่ 18 เม.ย. 2566 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เดินทางมาประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ทำเนียบรัฐบาล ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม พร้อมปฏิเสธการตอบคำถามถึงกรณีผลโพลที่ออกมาหลายสำนัก ยกให้ พล.อ.ประวิตร ยกให้เป็นผู้นำลำดับ 1 ที่ก้าวข้ามความขัดแย้ง รวมไปถึงผลโพลที่ พล.อ.ประวิตร จะเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล แต่ไม่มีรายชื่อติดโผเป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้ พล.อ.ประวิตร รีบเดินออกไปทันที

ทางด้าน นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ โฆษกคณะกรรมการยุทธศาสตร์การเลือกตั้ง พรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่สวนดุสิตโพล สำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศในหัวข้อ “นายกรัฐมนตรีคนใหม่ ในสายตาประชาชน” ที่ยกให้ พล.อ.ประวิตร เป็นอันดับ 1 ของนายกฯ ที่จะช่วยแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง และเป็นอันดับ 1 ของนายกฯ ที่สามารถประสานงานจัดตั้งรัฐบาลได้อย่างราบรื่น ว่า พล.อ.ประวิตร กล่าวขอบคุณประชาชนที่ร่วมกันโหวตให้เป็นนายกฯ ที่มีความโดดเด่นในทั้ง 2 ด้าน ซึ่งผลโพลสอดคล้องกับแนวคิดก้าวข้ามความขัดแย้ง ที่พรรคพลังประชารัฐชูธงมาโดยตลอด พร้อมให้ความมั่นใจว่า จะพาคนไทยออกจากวังวนความขัดแย้งได้สำเร็จโดยเร็ว เพื่อเดินหน้าพลิกโฉมประเทศไทย

ชาญกฤช เดชวิทักษ์
ชาญกฤช เดชวิทักษ์

...

สำหรับแนวคิดการก้าวข้ามความขัดแย้งของหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ นายชาญกฤช ระบุว่า เป็นความมุ่งมั่นที่พยายามทำลายกำแพงความแตกแยก และเป็นการประกาศเริ่มต้นประเทศไทยใหม่ ซึ่งได้เสียงตอบรับที่ดีจากสังคม โดยเฉพาะใจความสำคัญในจดหมายเปิดใจของ พล.อ.ประวิตร พูดถึงแนวทางสมานฉันท์ที่น่าสนใจ คือ ภายหลังการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล จะจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาคัดเลือกนโยบายที่ทุกพรรคการเมืองใช้ในการรณรงค์หาเสียง เพื่อนำมาปฏิบัติให้เกิดขึ้นจริง โดยไม่ได้เกี่ยงว่าเป็นพรรคใหญ่ พรรคเล็ก หรือเป็นพรรคการเมืองฝ่ายใด หากนโยบายเหล่านั้นเป็นประโยชน์ต่อประชาชน เพราะเชื่อว่านโยบายของทุกพรรคการเมือง ผ่านการกลั่นกรองมาในระดับหนึ่งแล้ว และมองว่าการเมืองไม่มีผู้ชนะเด็ดขาด และไม่มีฝ่ายใดต้องแพ้ราบคาบ ทุกคนทุกฝ่ายต้องตระหนักถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องช่วยกัน ร่วมมือกันฟื้นฟูและพัฒนาประเทศให้เดินไปข้างหน้าอย่างเท่าทันความเปลี่ยนแปลงของโลก จึงหมดเวลาที่คนไทยจะทะเลาะกันเอง

ขณะเดียวกัน นายชาญกฤช ยังให้ความมั่นใจด้วยว่า พล.อ.ประวิตร มีความพร้อมที่จะเป็นนายกฯ แม้จะอยู่ในวัย 78 ปี ก็ไม่ถือเป็นอุปสรรค ดังคำสัมภาษณ์ของ พล.อ.ประวิตร ที่เปิดเผยถึงกลยุทธ์ในการทำงานที่ประสบความสำเร็จ ผ่านเทคนิคการบริหาร คือ “ช้า เร็ว หนัก เบา” โดยยอมรับว่า ตัวเองเดินช้า แต่คิดเร็ว ทำเร็ว ตัดสินใจเร็ว เป็นคนหนักแน่น ไม่หูเบา ส่วนที่เบาคือเป็นคนไม่มีภาระ ไม่มีครอบครัว ไม่มีห่วง จึงทำงานเพื่อประชาชนและส่วนรวมได้อย่างเต็มที่

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ

“ถึงแม้ว่า พล.อ.ประวิตร จะเดินช้า ขาไม่ดี แต่ระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา ขาทั้ง 2 ข้างของ พล.อ.ประวิตร ได้ลงพื้นที่ไปทุกจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชน ทั้งการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกิน ปัญหาน้ำท่วม-น้ำแล้ง ปัญหาความยากจน รวมถึงการแก้ไขปัญหาประมงผิดกฎหมาย จนประเทศไทยสามารถปลดใบเหลืองจากสหภาพยุโรปได้สำเร็จ คนไทยไม่ต้องเดือดร้อนจากการถูกกีดกันการส่งออกสินค้าประมง เหล่านี้เป็นผลงานที่เป็นที่ประจักษ์ และเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง”

ในตอนท้าย นายชาญกฤช ยังกล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า ส่วนหัวข้ออื่นๆ ที่ประชาชนยังไม่เทคะแนนให้กับแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ ทางพรรคขอน้อมรับ เพื่อนำไปปรับปรุงและเสริมให้เป็นจุดแข็งต่อไป พร้อมฝากประชาชนพิจารณาเลือกพรรคพลังประชารัฐ และเลือกผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคทุกเขตทั่วทั้งประเทศ เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง และพลิกฟื้นเศรษฐกิจ พลิกโฉมประเทศไทย เพื่อก้าวหน้าไปอย่างยั่งยืน.