ขาดไปแค่ 4 เสียง ถ้าจะบี้กันจริงๆมีหรือจะไม่ได้

ตามเกมที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยแพ้โหวตญัตติขอให้รัฐสภารับพิจารณาลงมติว่าคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญมีผลผูกพันต่อรัฐสภาหรือไม่ ไปด้วยคะแนนเฉียดฉิวแบบเนียนๆ

โดยที่ฝ่ายแพ้ก็ไม่ได้ตีโพยตีพาย แถมถอนหายใจด้วยอาการโล่ง

เอาเป็นว่า นับตั้งแต่ปรากฏการณ์ “อากง” เรื่อยมาถึงคิวเด้ง “ตุ๊ดตู่” นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. ตกเก้าอี้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ล่าสุดรายการที่ศาลรัฐธรรมนูญสั่งสภาเบรกการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 วาระ 3 ออกไป

3 คิวร้อนๆที่ “กระตุกต่อมแค้น” แนวร่วมฝ่าย “นายใหญ่”

แต่พรรคเพื่อไทยยังเก็บอาการ คุมอารมณ์แนวร่วมคนเสื้อแดงให้อยู่ในขอบเขตได้

มันจึงเป็นอะไรที่ถือเป็นงานยากขึ้นอีกหลายเท่า สำหรับพวกจ้อง “จุดไฟ” ยั่วเกมตะลุมบอน ลากเข้าจังหวะเข้าเหลี่ยมล้มกระดานรัฐบาลนายกฯยิ่งลักษณ์

ตามเกมผู้นำหญิงยังใช้ความสวยและความไร้เดียงสาทางการเมือง เล่นตามสคริปต์แยกบทในสภากับงานบริหาร ปั่นโปรไฟล์ผลงาน ต่อโปรโมชั่นเกมอำนาจไปได้เรื่อยๆ

และตามโปรแกรมหลังจากนี้ กระแสก็จะมุ่งไปที่รายการปรับคณะรัฐมนตรี ลุ้นคิวยกเครื่อง “ยิ่งลักษณ์ 3” ที่ปล่อยโพยปล่อยของกันออกมา จะเขย่าติ้วกันในระยะเวลาอันใกล้นี้

แต่ก็น่าสังเกตว่าในส่วนของคนบ้านเลขที่ 111 ที่เปิดตัวกันอึกทึกคึกคัก ถึงเวลาใช้งานจริงได้ไม่กี่ราย ตามโพย “ตัวเต็ง” ที่มีสิทธิถูกเรียกเสริมทีม ก็มีแค่นายจาตุรนต์ ฉายแสง นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา นายวราเทพ รัตนากร นายโภคิน พลกุล พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ “เสี่ยเพ้ง” นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล

ทีมงานดั้งเดิมที่เกาะขบวน “นายใหญ่” มาตลอด

ส่วนพวกที่แยกตัวออกไปตั้งป้อมค่ายด้านนอก รู้ตัวดี ไม่ดิ้นให้เสียอาการ

ล่าสุดจับสัญญาณจากนายปรีชา เลาหพงศ์ชนะ แกนนำพรรคชาติพัฒนา อ่านทิศทางกระแสการปรับคณะรัฐมนตรี ที่อาจเกิดขึ้นหลังปิดสมัยการประชุมสภา โดยได้พูดคุยกับนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ และนายพินิจ จารุสมบัติ แกนนำพรรคชาติพัฒนา มาโดยตลอด อย่างไรก็ตาม การปรับคณะรัฐมนตรีครั้งนี้ คงไม่ได้เข้าไปอยู่แล้ว เพราะดูแลแค่กระทรวงอุตสาหกรรม

แต่ส่วนตัวที่ผ่านมาก็ช่วยงานรัฐบาลทางอ้อม และเอาใจช่วยรัฐบาลอยู่ และก็เชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะสามารถบริหารประเทศได้คล่องตัวสูงขึ้น  ผ่านไป 1 ปี การทำงานเข้าขากันมากขึ้น

นายกรัฐมนตรีเข้าใจการแก้ปัญหาภาครัฐได้มากกว่าเดิม

นายปรีชายังมองว่าการบริหารประเทศของรัฐบาลน่าจะดีขึ้น โดยเฉพาะเมื่อมีประชาคมอาเซียนแล้ว และไทยเป็นศูนย์กลาง จะเป็นประโยชน์กับนักลงทุน แต่จะต้องตื่นตัว และมีความพร้อมในการเป็นคู่ค้า

อาศัยเชิงเก๋า เล่นบท “สอนน้อง” อยู่วงนอกไปพลางๆ

แน่นอน ว่ากันตามสถานะและฐานทางการเมือง ณ ปัจจุบันของนายปรีชา ไม่ใช่คนในชายคาของพรรคเพื่อไทย และแทบไม่มีฐานต้นทุน ส.ส.อยู่ในสังกัดอย่างเป็นกอบเป็นกำ

เป็นธรรมดาอยู่แล้วที่จะอยู่นอกโพยเรียกใช้งาน “รอบแรก”

แต่เรื่องของเรื่อง มันสำคัญที่ “มูลค่าเฉพาะตัว” นายปรีชาจัดอยู่ในข่ายนักเลือกตั้งอาชีพที่เชี่ยวเชิงบริหาร รู้งานด้านเศรษฐกิจ อ่านทิศทางกระแสสังคม จับอารมณ์ของชาวบ้านได้

ที่สำคัญเป็นพวกมีฤทธิ์ มีทั้งทุน มีทั้งฐานการเมือง “ครบเครื่อง” ระนาบเดียวกันกับหุ้นส่วนร่วมก๊วนอย่างนายสุวัจน์ นายพินิจ รวมไปถึงนายสมศักดิ์ เทพสุทิน นายสรอรรถ กลิ่นประทุม นายอนุทิน ชาญวีรกูล

โดยมูลค่าทางการเมือง ราคาจึงไม่ตกง่ายๆ

ว่าตามเนื้อผ้า พื้นที่ยังเปิดมากกว่านายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ หรือนายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย ที่มีต้นทุนเชิงบริหาร ตรงสเปกของสังคม แต่โดยสภาพ “ศิลปินเดี่ยว” ที่ไร้ฐานสนับสนุนทางการเมือง แถมเงื่อนไขส่วนตัวที่ติดปมกินแหนงแคลงใจกับ “นายใหญ่” ยากจะกลับมาร่วมงานกันได้

จะขยับตั้งป้อมค่ายใหม่ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ

หรือแม้แต่นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตเลขาธิการพรรคไทยรักไทย คู่ใจ “ทักษิณ” ที่ครบเครื่องทั้งทุนทรัพย์และฐานทางการเมืองในเครือข่ายร่วมก๊วนกับนายสมศักดิ์ และ “เจ๊แดง” นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวนายใหญ่

แต่ด้วยปม “วัดใจ” ในวันที่ “นายใหญ่” ลำบาก วันนี้ “สุริยะ” ถูกขึ้นบัญชีต้องห้าม หมดโอกาสรีเทิร์นมาร่วมทีม “ทักษิณ” เหมือนกัน ครั้นจะสวิงไปอยู่กับขั้วประชาธิปัตย์ก็กลัวโดนเกมเช็กบิล

แนวโน้มน่าจะตัดสินใจแขวนนวมก่อนใคร.

...

ทีมข่าวการเมือง