กระแสความขัดแย้ง ระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กับพลพรรคเสื้อแดง นปช.ที่ลุกลามบานปลายเป็นไฟลามทุ่ง โดยเฉพาะในโลกของโซเชียลมีเดีย ที่ปรากฏสู่สายตาสาธารณชน ต้องยอมรับว่ามีความรุนแรงมากขึ้น ยิ่งหลัง พ.ต.ท.ทักษิณ วิดีโอลิงก์มาที่เวทีปราศรัยใหญ่ นปช. ในงานรำลึก ครบรอบ 2 ปี เหตุการณ์ชุมนุมเมื่อเดือน เม.ย.-พ.ค. 2553 ที่แยกราชประสงค์ เมื่อวันที่ 19 พ.ค.ที่ผ่านมา  โดยเฉพาะ การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ส่งสัญญาณให้มวลชนคนเสื้อแดง ขอให้ลืมอดีต และขอให้ปรองดองกับทุกฝ่ายในประเทศ เพื่อที่ตนเองจะได้กลับบ้านได้ รวมทั้งยังมีการเปรียบเทียบว่า กลุ่มคนเสื้อแดงก็เหมือนเรือที่มาส่งตนจนสุดทางแล้ว จากนี้ไปตนยังต้องขึ้นบกเดินทางด้วยรถต่อ

ประโยคดังกล่าว ต้องยอมรับว่า ได้สร้างความไม่พอใจอย่างมากกับกลุ่มคนเสื้อแดงกลุ่มหนึ่ง ที่เป็นกลุ่มเดียวกันกับที่ ใช้กรณี ของอากงที่เสียชีวิต  มารณรงค์ให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 มีการโพสต์ข้อความในโซเชียลมีเดียอย่างต่อเนื่อง เพื่อต่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งอีกด้านก็คือนายใหญ่ของกลุ่มคนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทย ที่ต้องถือว่าเป็นพวกเดียวกันมาตั้งแต่ต้น เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ร้องให้กลุ่ม นปช.ปรองดองเพื่อเปิดทางให้ได้กลับบ้าน ไม่ยอมค้นหาความจริงว่า ใครคือคนที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ 91 ศพ อาทิ กลุ่มนายสมศักดิ์ เจียมสุรกุล หรือแม้แต่ นายจักรภพ เพ็ญแข ก็ยังกลับมาใช้พื้นที่ในโซเซียลมีเดียในการโพสต์ข้อความตอบโต้นายใหญ่ ไม่นับรวมฝ่ายที่อยู่ตรงกันข้ามอย่าง ปชป.

แน่นอนว่า สังคมส่วนใหญ่ทั้งที่ไม่มีสีและมีสีเสื้อ ใครๆ ก็อยากรู้อะไรคือเหตุผลที่แท้จริง ที่ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ กล้าตัดสินใจส่งสัญญาณในลักษณะนั้นออกไปให้มวลชนกลุ่มคนเสื้อแดง ที่ต้องถือเป็นฐานเสียงสำคัญและเป็นผู้มีอุปการคุณ ทำให้พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งจนได้เป็นรัฐบาลสมใจ  ไม่มีใครตอบคำถามนี้ได้ดีไปกว่า คนที่มีส่วนได้-เสีย กับเกมการเมืองที่กำลังเกิดขึ้น นี่ไม่นับรวมกรณี เร่งเสนอร่างพ.ร.บ.ปรองดองร้อน ของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคมาตุภูมิ 

...

นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ นปช. กล่าวกับทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์ ต้องเข้าใจก่อนองค์ประกอบขบวนการคนเสื้อแดงเป็นขบวนการที่ใหญ่มาก แล้วขบวนการเสื้อแดงที่อยู่ภายใต้ นปช.ก็ใหญ่ แต่ก็มีคนเสื้อแดงส่วนหนึ่งที่เคลื่อนไหวอย่างอิสระ แต่ก็ยังเป็นคนเสื้อแดงอยู่ ฉะนั้นคำพูดของทักษิณ ก็ทำให้เกิดปฏิกริยาสะท้อนกลับ ที่หลากหลาย โดยเฉพาะที่อยู่ในโซเซียลมีเดีย ก็คือกลุ่ม "แดงอิสระ" หรือ "แดงเสรี" ที่ต้องยอมรับว่าบางคนก็ไม่ได้อยู่ภายใต้ หรือ ยึดว่า นปช.เป็นตัวนำ แต่เราร่วมกัน ก็ไม่มีปัญหาอะไรเพราะก็อยู่กันมาอย่างนี้แหละ คนเหล่านี้มีปฏิกริยากับคำพูดคุณทักษิณมากกว่าส่วนอื่นๆ แต่ตรงนี้ไม่น่าแปลกใจ

"สิ่งที่ทำให้เกิดปัญหาคือ วาทกรรมด้านการปรองดอง ที่ระบุว่า นั่งเรือมาส่งแล้ว ก็จะนั่งรถต่อไปเอง อันนี้อาจมีปัญหา เพราะมีคำพูดโบราณที่กล่าวประมาณว่า "ถีบหัวเรือส่ง" ก็คิดว่าคุณทักษิณคงไม่ได้หมายถึง อย่างที่มีคนจำนวนหนึ่งเข้าใจ  แต่คำพูดของทักษิณมีการตีความไปได้มากอันนี้ต้องยอมรับว่า คุณทักษิณ ก็มีสิทธิ์จะพูด คนตีความก็มีสิทธิ์ตีความ  คุณทักษิณ วิเคราะห์ตัวเองว่าเป็นฝ่ายถูกกระทำหนักมาก และมาเรียกร้องคนอื่นที่คุณทักษิณคิดว่าถูกกระทำเหมือนกัน แต่ไม่หนักเท่ากับที่ตัวเองโดน ให้คิดแบบเค้าไปด้วย แต่มันไม่ง่ายอย่างนั้น" ประธาน นปช. กล่าว

ที่มีการตั้งข้อสังเกต ความขัดแย้งในกลุ่มเสื้อแดงตอนนี้ มันจะทำให้แตกแยก และเสื้อแดงอ่อนลงหรือไม่ นางธิดา ระบุว่า ต้องเข้าใจว่า ความเป็นจริงคนเสื้อแดงแท้ๆ 80% รักคุณทักษิณ  อีกประมาณ 15% อาจรู้สึกเฉยๆ ที่เกลียดคุณทักษิณจริงๆ มีแค่ประมาณ 5% เอง แล้วคนในโซเชียลมีเดีย ที่เกลียดจริงๆ ก็คงไม่ได้มีมาก แต่เสียงมันอาจจะดัง เข้าใจว่าคนเสื้อแดงเกือบทั้งหมดมันเป็นขบวนใหญ่ เสื้อแดงจริงๆไม่ได้แตกในตอนนี้นะ มันมีแตกกันมานานแล้ว อย่างกลุ่มแดงสยาม กลุ่ม 24 มิถุนา หรือแม้แต่ กลุ่มนายชูพงษ์ ถี่ถ้วน ก็เคยแยกตัวไปเพราะคนส่วนใหญ่ในเสื้อแดง นปช. รับไม่ค่อยได้ หรือแม้แต่กลุ่มแดงสยาม ของนายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ ไม่พอใจ นายวีระกานต์ มุสิกพงษ์ ตอนถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษก็แยกตัวไป

ฉะนั้น นปช.จึงเกิดเป็นองค์กรมีหลักการตั้งแต่เริ่มมีการแยกตัวไป ดังนั้น เคยแยกมาก่อนไม่ใช่ไม่เคย แต่เราก็ไม่ได้ถือเป็นศัตรู เป็นมิตร แม้พรรคพวกด่าเรา แต่เขาถูกจับเข้าคุกเราก็ต้องไปช่วย ถ้าไม่ไปก็ถูกด่าอีก แต่เราก็ไม่ว่ากัน ตอนนี้อาจมีการแยกตัวอีกก็เป็นไปได้ แต่ต้องเข้าใจว่า นปช.คือใคร และทำเพื่ออะไร 

ส่วนที่มีการดูกันว่า กลุ่มเสื้อแดงอาจแตกกับเพื่อไทยได้ โดยเฉพาะเรื่องแย่งตำแหน่งในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ นางธิดา กล่าวว่า ถ้าพูดอย่างนั้นเหมือนเป็นการดูถูกคนเสื้อแดง ถ้าเสื้อแดงจะแตกกับ พท.ก็ต่อเมื่อ พท.ไม่เดินแนวทางมวลชน พท.ทรยศกับประชาชน ไม่ใช่เพื่อไทยไม่ใช่ตำแหน่งรัฐมนตรี  แต่เพราะเขาไม่ใช่พรรคของประชาชน ไม่เดินแนวทางของประชาชนอีกต่อไป ระยะห่างของเรากับเค้าก็ค่อยๆมากขึ้นเราเตือนแล้ว

ถ้ามีการปรับ ครม.ขึ้นมาจริง สุดท้าย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ถูกถอดออกจากตำแหน่ง หรือนายจตุพร ไม่ได้เป็น รมช.มหาดไทย ก็ไม่เกี่ยวข้องกัน รู้จักเสื้อแดงน้อยเกินไป ถ้าทุกอย่างทำเพื่อผลประโยชน์ ป่านนี้ก็หยุดแล้ว ไม่ต้องไปขัดแย้งกับคุณทักษิณ ไม่ต้องขัดแย้งกับเพื่อไทย  ทำไมเราต้องทำในสิ่งที่แตกต่าง  ทำไมเราต้องเดินหน้าทำแล้วเค้าก็ไม่พอใจ ก็เพราะเราไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ของเรา จำไว้เลยเรื่องตำเหน่ง รมต.ไม่เกี่ยว

เหมือนตอนนี้ที่คนเสื้อแดงในโซเซียลมีเดียจำนวนหนึ่งออกมาต่อต้าน แต่ก็เชื่อว่าคนเสื้อแดงก็ไม่สบายใจเท่าไหร่ แต่ไม่ถึงระดับมาต่อต้านคุณทักษิณ เราต้องแข็งในเรื่องการค้นหาความจริง และเดินหน้าความยุติธรรม ทำความจริงให้ปรากฏ เรายังถือพรรคเพื่อไทย รัฐบาลและ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังคงเป็นมิตรที่สำคัญ  ที่ร่วมกันต่อสู้และร่วมรบกันมาเราต้องเดินหน้าไปอีก ฉะนั้นไม่มีสิทธิ์ไปบังคับว่าทุกคนต้องทำ คิดเหมือนกันทุกย่างก้าว เราต้องให้อิสระกับเพื่อนมิตรของเราระดับหนึ่ง เราจะไปบังคับเขาคงไม่ได้ ก็เหมือนกับที่เขาก็ไม่สามารถบังคับเราได้ มีแต่การจูงใจ จึงขอร้องให้กลุ่มแดงที่ไม่เห็นด้วยให้มีท่าทีฉันมิตรไม่ใช่ศัตรู เพราะอาจมีหลายคนเข้าใจผิด กระหน่ำโจมตีอย่างรุนแรง เพราะไม่ได้ทำตามที่เขาคิด ก็ขอให้ใช้วิธีการชักจูง ไม่ใช่ต่อว่า  

นายขวัญชัย ไพรพนา ประธานชมรมคนรักอุดร กล่าวว่า ต้องเข้าใจนะ กลุ่มเสื้อแดงหัวรุนแรงที่โพสต์ในโซเชียลมีเดีย นั้นไม่ใช่พวกเราแต่แฝงอยู่ในกลุ่มใหญ่ ผมพูดอยู่เสมอว่าเสื้อแดงกลุ่มที่แฝงอยู่ในกลุ่มใหญ่ อย่าไปอ้างประชาชน ผมคนรากหญ้ามีมวลชนอยู่เป็นจำนวนมาก ยืนยันว่าต้องการให้ประเทศเกิดความปรองดอง ถ้าหากกลุ่มอำมาตย์ไม่ตี 2 หน้า ผมก็พร้อมจะเดินไปด้วย พร้อมถอยก้าวหนึ่ง แต่กลุ่มนิติราษฎร์หรือที่ชาวบ้านทราบกันว่าเป็นกลุ่มไม่เอาเจ้า เนี่ยมันรุนแรง พวกนี้ต้องการได้อย่างใจมันไม่ได้หรอก ต้องลดราวาศอกลง ยื่นไมตรีมาก็รับไมตรีนี้ แต่หากวันใดตลบหลังขึ้นมาก็ออกมาสู้เเหมือนเดิม นี่คือสิ่งที่ผมพูด ความเป็นจริงกลุ่มที่บอกว่าเป็นกลุ่มเสื้อแดงหัวรุนแรง มั่นใจว่า มีไม่มากส่วนใหญ่อยู่ในโซเชียลมีเดียอยู่ในกรุงเทพฯ กลุ่มคนเสื้อแดงรากหญ้าอย่างพวกผม คงไม่ค่อยได้ใช้แน่ ใช้คงไม่เป็น พวกนี้มีไม่เยอะ แล้วก็ตามความเห็นผมก็อาศัยร่วมกับขบวนการกลุ่มเสื้อแดงส่วนใหญ่นี้ แล้วเมื่อยิ่งชนะการต่อสู้ที่ผ่านมา ก็เลยได้โอกาสนำมาใช้ประโยชน์ แต่เสื้อแดงอย่างพวกผมไม่หลงทางหรอก เพราะนี่เรายังต้องการเจ้า

สำหรับพวกเราแล้ว แก้หรือไม่แก้ กฎหมายอาญามาตรา 112 มันก็ไม่มีประโยชน์ ส่วนตัวเห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ คงได้รับสัญญาณอย่างนี้มาก็เลยมา วิดีโอลิงก์ ขอให้มวลชนลดโทนความร้อนแรงลงได้ไหม เพื่อเข้าสู่การปรองดอง แต่กลุ่มคนที่ไม่ได้เป็นเสื้อแดงเหมือนกับเรา 100% พวกนี้กลับนำไปขยายความก็เข้าทาง ปชป. ผมพูดชัดเจนแล้ว เสื้อแดงพวกนี้เป็นพวกแอบแฝงต้องการจะเอาประชาชนคนรากหญ้าอย่างพวกผมเป็นตัวประกัน ผมไม่ต้องการความรุนแรง ผมต้องการปรองดอง ขอท้าให้ลองตั้วเวทีปราศรัยดูก็ได้ว่าจะมีคนเอาด้วยไหม คนรากหญ้าเค้าไม่เอา อันนี้ต้องเข้าใจว่ากลุ่มแบบนี้ที่ออกมขัดแย้งกับ พ.ต.ท.ทักษิณ มีไม่เยอะหรอกครับ น่าจะอยู่ในกรุงเทพฯ เป็นส่วนใหญ่


ด้าน นายสมบัติ บุญงามอนงค์ แกนนำกลุ่มเสื้อแดงวันอาทิตย์  และ บก.ลายจุด กล่าว กรณี ออกมาระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีการพูดคุย และอาจไปซูเอี๋ยกับฝ่ายอำมาตย์เรียบร้อยแล้วนั้น ยืนยันผมยังไม่ได้เปลี่ยนคำพูดมันเป็นเพียงทรรศนะหนึ่ง เพียงแต่ว่ามันเป็นทรรศนะของขบวนเสื้อแดงในช่วงเปลี่ยนผ่าน เพราะมีการส่งสัญญาณในเรื่องแนวทางออกมา ก็เลยเกิดทรรศนะที่หลากหลาย ธรรมดามันต้องมีการอภิปรายกันถ้าไม่พูดเรื่องนี้เลยซิแปลก

"ก็เห็นว่าชัดเจนนี่ครับ ไม่มีใครโต้แย้ง มีการเจรจากัน ปรองดองระหว่างขั้วอำนาจแต่ละฝ่าย   ความจริงส่วนตัวเห็นด้วยกับการปรองดอง เพียงแต่มันเป็นเรื่องนิยาม แต่ยอมรับลึกๆ แล้วมีความกังวลใจว่า อาจมีการปล่อยคู่กรณีบางคนไป อย่างคุณสุเทพ คุณอภิสิทธิ์ ยังอยู่ในรายชื่อเหล่านี้ แต่คู่กรณีบางคนอาจไม่อยู่แล้ว ซึ่งการประเมินทั้งหลายก็ต้องไปวัดตอนมีพระราชบัญญัติออกมา เพียงแต่ว่าถ้าดูที่ผ่านมามันมีการส่งสัญญาณให้ถอย มันก็เป็นการยอมกันระดับหนึ่ง ส่วนกรณีเกรงกันว่าจะมีการออก พ.ร.บ.ปรองดอง แบบเหมายกเข่ง ส่วนตัวเห็นว่าคงลำบาก เพราะไม่ค่อยมีคนเห็นด้วย เห็นด้วยก็น้อย" นายสมบัติ กล่าว 

นายสมบัติ กล่าวอีกว่า ขณะที่แกนนำเสื้อแดงหลายฝ่ายออกมาระบุว่า กลุ่มเสื้อแดงในโซเชียลฯ ที่มีการโพสต์ข้อความขัดแย้งกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เห็นด้วยให้ปรองดองมีน้อยนั้น  ความจริงก็เป็นไปตามที่เหล่าแกนนำ นปช.พูด คือต้องยอมรับคนเสื้อแดงส่วนใหญ่ไม่ได้เล่นโซเชียลมีเดีย และความจริงกลุ่มคนเสื้อแดงที่มีความคิดห็นแตกต่างกันก็มีมานานแล้ว เพียงแต่งวดนี้เห็นต่างกับทักษิณเลย ก็เป็นสีสันทางการเมืองของไทย ในหมู่ที่ต่อสู้ในเรื่องนี้ก็คงยอมรับความจริงได้ แต่อย่างไรก็ถือเป็นกลุ่มที่มีเสียงหนึ่งที่สังคมต้องรับฟัง ทีนี้สิ่งที่มันขาดหายไปคือการสร้างวัฒนธรรมเพราะต้องยอมรับว่ามีการวิพากษ์วิจารณ์ที่มันเกินเลยก็ต้องตบให้มันเข้ามาอยู่ในที่ในทาง ต้องวิจารณ์กันด้วยเหตุด้วยผล

"ในโลกโซเชียลฯ มีการรณรงค์ให้แก้ ม.112 ในช่วงนี้ต่อเนื่องและค่อนข้างรุนแรง ถ้าเป็นเรื่องการมีความเห็นต่อกฎหมาย เชื่อมีความเห็นได้ โดยส่วนตัวก็เห็นว่า กฎหมายนี้ต้องยอมรับมีปัญหาอยู่จริงที่ต้องแก้ไข ดังนั้น ในเมื่อรัฐเพิกเฉยต่อกฎหมายนี้ คนกลุ่มนี้เขาก็ต้องกระทุ้งให้แรง เชื่อกฎหมายฉบับนี้มีปัญหาจริง แล้วผู้ที่เกี่ยวข้องก็ต้องยอมรับ ถ้าไม่รับก็เหมือนทำบิ๊กแบ็กกระสอบทรายไว้สูงมาก เวลามันพังลงมาจะน่ากลัวจึงต้องผ่อนคลายบ้าง เพราะการก่อกระสอบทรายไว้สูงช่วงหลังปี 2519 ทำให้คดีความเหล่านี้ดูรุนแรงเกินเหตุ คิดว่ามันไม่สอดคล้องกับยุคสมัยแล้ว ต้องเปลี่ยนแปลงให้ทันสมัย ก็ไม่ได้ขอให้ยกเลิก แต่ขอให้ปรับปรุง ผมก็คิดว่ามันก็พอฟังได้นะ แทนที่จะบอกว่าหยุดพูด ก็ให้มาคุยกันให้เป็นกิจจะลักษณะหน่อย ก่อนหน้านี้ที่มีการเสนอให้เปิดเวทีก็น่าจะทำเป็นเรื่องเป็นราว ฝ่ายการเมืองก็อย่าเอามาเล่นกันจนเลอะเทอะ ผมว่าเป็นเรื่องดีนะ" นายสมบัติ กล่าว

ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งในทรรศนะ ของคนระดับแกนนำขับเคลื่อนมวลชนคนเสื้อแดง สำหรับความเห็น คนเสื้อแดงแตกกันจริงหรือไม่? ซึ่งไม่ขอวิพากษ์วิจารณ์ แต่ให้ขอให้ประชาชนทั่วทั้งประเทศจับตาดูแบบอย่ากะพริบ ต่อจากนี้ไปว่าท้ายสุดแล้วจะลงเอยเช่นไร.