ปี่กลองการเมืองไทยกำลังจะเริ่มโหมโรงอีกครา แต่ “ประเทศไทย” ยังมีปัญหาใหญ่ติดอยู่ใน “หลุมดำ” เพราะประเทศถูกมัดตราสัง

ศ.นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส ย้ำว่า ประเทศไทยมีทรัพยากรเพื่อพัฒนามากแทนที่จะเจริญรุ่งโรจน์กลับติดอยู่ใน “หลุมดำ” แห่งวิกฤติการณ์เรื้อรังมาเกือบ 1 ศตวรรษ

“ทำอย่างไรๆก็ออกไม่ได้”

เพราะเป็นประเทศที่ “ปิดศักยภาพ” ของตัวเองประดุจถูกมัดตราสัง ระบบการเมืองและระบบราชการมีข้อจำกัดมากมาย เพราะถูกออกแบบมาเพื่อวัตถุประสงค์ในสถานการณ์เก่า ซึ่งใช้ไม่ได้ผลในสถานการณ์ใหม่ที่ไม่เหมือนเดิม

อีกทั้งสังคมปัจจุบันสลับซับซ้อนและยาก ต้องการมี “สมรรถนะใหม่” ที่เป็นความร่วมมือ ร่วมคิดร่วมทำมากกว่าการต่อสู้

อย่างที่กล่าวไปแล้วหลายต่อหลายครั้งว่า “ระบบเก่า” ออกแบบมาเพื่อควบคุมมากกว่าเพื่อสมรรถนะในการจัดการสิ่งยาก

ดังที่มีกฎหมาย กฎ ระเบียบ คำสั่ง ทั้งหมดกว่า 100,000 ฉบับ ที่ควบคุมการทำงานของระบบรัฐ ทำให้ไม่สามารถริเริ่ม หรือตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วเมื่อเผชิญกับสถานการณ์พลิกผัน

...

การเมืองแบบแบ่งข้างแบ่งขั้ว เป็นปฏิปักษ์ต่อสู้โค่นล้มกันตลอดเวลา ไม่มีสมรรถนะในการเผชิญสิ่งยาก จนกระทั่งพูดกันว่า ประชาธิปไตยแบบดั้งเดิมไม่ได้ผลแล้ว

ในสหรัฐอเมริกามีคนตั้งคำถามว่า “เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร” คือ มีความเหลื่อมล้ำสุดๆ การเมืองที่แบ่งขั้วแบบสุดๆและมีรัฐบาลที่ไม่มีสมรรถภาพ (Dysfunction Government)

“คนไทยที่เก่งๆดีๆก็มีจำนวนมาก แต่ไม่สามารถเข้าร่วมในระบบปิด และการแบ่งข้างแบ่งขั้ว เราจะเปิดระบบที่ปิดให้คนไทยทั้งหมดมีส่วนร่วมได้อย่างไร” ศ.นพ.ประเวศ เปิดประเด็นตั้งคำถาม

“ฝรั่งไม่ได้ฉลาดกว่าพระพุทธเจ้า...เราตามก้นฝรั่งเสียจนเคยชินไม่รู้ตัว ชาวยุโรปมีปัญหาเรื่องวิธีคิดที่คิดแบบตายตัวแยกส่วน แยกข้างแยกขั้วเป็นปฏิปักษ์เผชิญหน้า จึงเกิดความขัดแย้งและรุนแรงตลอดมา”

ประวัติศาสตร์เต็มไปด้วยสงคราม สงครามโลก 2 ครั้ง...ก็เริ่มในยุโรป สงครามอื่นๆอีกสารพัดสร้างความขัดแย้งและความรุนแรงไปทั่วโลก

โดยสรุปแนวทางของฝรั่งคือ สร้างความรู้ เอาความรู้ไปเป็นอำนาจ เอาอำนาจไปแย่งชิง เขียนเป็นรหัสพัฒนาได้ว่า “ความรู้-อำนาจ-แย่งชิง”

พระพุทธเจ้าสอนเรื่องทางสายกลางคือการใช้ปัญญา ไม่แบ่งข้างแบ่งขั้ว ไม่สุดโต่ง ไม่คิดเชิงปฏิปักษ์ แต่เน้นไมตรีจิตและความร่วมมือ เขียนเป็นรหัสการพัฒนาแบบพุทธได้ว่า “ปัญญา-ไมตรีจิต-ความร่วมมือ”

แนวทางตะวันตกกับทางสายกลางแบบพุทธ...จึงไม่เหมือนกัน

ศ.นพ.ประเวศ บอกอีกว่า ประชาธิปไตยทางสายกลางคือใช้แนวทางปัญญา...ไมตรีจิต...ความร่วมมือ

“ถ้าพรรคการเมืองทั้งหมดและคนไทยทั้งหมดร่วมมือกันจะเกิดพลังมหาศาลพาชาติออกจากวิกฤติ สู่ความเจริญอย่างแท้จริง เมื่อทั้งหมดรวมพลังกันอะไรๆก็ทำให้สำเร็จได้ทั้งสิ้นและใครว่าการรวมพลังของคนทั้งชาติไม่ใช่ประชาธิปไตย”

ถึงตรงนี้ขอกล่าวถึงเรื่อง “ประชาธิปไตย 2 ขา” นั่นก็คือการยกเลิกประชาธิปไตยแบบเก่าเป็นเรื่องที่ยากจะทำได้ วิธีที่จะทำได้ก็คือ...ประชาธิปไตยแบบเก่าก็ทำไป เป็นประชาธิปไตยที่เป็นทางการ

มายาคติของเราอย่างหนึ่งคือ เคารพความเป็นทางการมากกว่าความไม่เป็นทางการ...ความจริงคือ ความไม่เป็นทางการมีมาก่อน ใหญ่กว่า เป็นธรรมชาติมากกว่า และคล่องตัวกว่า...ความเป็นทางการ (Formal) ก็ติดฟอร์ม หรือรูปแบบพิธีการ กฎระเบียบมากมาย ทำให้ไม่คล่องตัวและติดขัด

ขนาดคุณทักษิณเมื่อเป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการชนะการเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์ เมื่อ พ.ศ.2544 ยังเคยตะโกนว่า “กลุ้มใจฉิบหายเลยโว้ย ทำไอ้โน่นก็ไม่ได้ ทำไอ้นี่ก็ไม่ได้” เพราะติดกฎระเบียบข้อบังคับที่เต็มไปหมด

การเลือกตั้ง 2566 มีอะไรเป็นประกันว่า “รัฐบาล” หลังจากนั้นจะไม่ติดขัดเหมือนเดิม?...คำตอบคือ ประชาธิปไตย 2 ขา

ขาหนึ่ง...ก็คือทำไปเหมือนเดิม ระหกระเหินไปตามเหตุปัจจัยของมัน แก้ไขอะไรไม่ได้ หรือยิ่งแก้ยิ่งยุ่งมากขึ้น ประชาธิปไตยขาที่ 2 คือ ร่วมกันทำสิ่งใหม่ที่ดี นั่นคือประชาธิปไตยทางสายกลาง ไม่แยกข้างแยกขั้ว ไม่เป็นปฏิปักษ์

ทุกพรรครวมตัวร่วมคิดร่วมทำกับคนไทยทั้งปวง อย่างไม่เป็นทางการ ไม่มีอะไรที่ห้ามไม่ให้ทำ ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีลธรรม ตรงข้ามเป็นความถูกต้องตามหลักธรรมทางสายกลางคือใช้ปัญญา... ไมตรีจิต...ความร่วมมือ...ขาหนึ่งเป็นทางการก็ทำไปอย่างเคย อีก
ขาหนึ่งไม่เป็นทางการทุกพรรครวมตัวร่วมคิดร่วมทำกับประชาชน

เมื่อทุกพรรครวมตัวร่วมคิดร่วมทำกับประชาชนก็จะก้าวข้ามความแตกแยกทุกชนิด ประเทศไทยเกิดพลังมหาศาล ทำอะไรก็สำเร็จทุกเรื่อง และจะไปช่วยการเมืองเก่าที่มีข้อจำกัดมาก...ทำอะไรให้สำเร็จได้ยาก แต่จะสำเร็จด้วยประชาธิปไตย 2 ขา

นำไปสู่เส้นทางความจริงใหม่...การเมืองใหม่การเมืองควอนตัม ศ.นพ.ประเวศ อธิบายว่า ชาวยุโรปนั้นคิดแบบตายตัว 1 ไม่ใช่ 2 และ 2 ไม่ใช่ 2...

วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ที่เรียกว่า Quantum physics พบว่า ธรรมชาติไม่ตายตัวแยกส่วน เช่น อิเล็กตรอนเป็นอวัตถุ คืออนุภาค หรือเป็นคลื่นพลังงาน คือโฟตอนก็ได้ ในขณะเดียวกันนั่นคือเป็น 1 และ 2 ก็ได้ในขณะเดียวกัน...ตรงกับพุทธศาสนาที่ว่า สรรพสิ่งล้วนเป็นอนิจจัง คือ ไม่ตายตัว เปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัย

1 กับ 2 อยู่ที่เดียวกันก็ได้ ถ้าเหตุปัจจัยให้มันเป็นเช่นนั้น มันก็เป็นเช่นนั้น...เหล่านี้สะท้อนความจริงที่ว่าโลกทัศน์เก่าเป็นโลกแบบตายตัวแยกส่วน...โลกทัศน์ใหม่ หรือโลกควอนตัม เป็นโลกแบบเชื่อมโยง ไม่มีอะไรดำรงอยู่อย่างแยกส่วนเป็นเอกเทศ โลกเก่าล้วนพัฒนาแบบแยกส่วน จึงขัดแย้งรุนแรง เสียสมดุล

โลกใหม่จะเชื่อมโยง บูรณาการไปสู่สันติสมดุล

“ประชาธิปไตยเก่า” บูรณาการกับ “ประชาธิปไตยใหม่” หรือ...ประชาธิปไตย 2 ขา จึงเป็นทางออกจากวิกฤติการณ์เรื้อรังของไทยและของโลก

ความท้าทายสำคัญที่กำลังจะเกิดขึ้นในปี 2566 จะเป็นปีที่ประเทศไทยค้นพบระบบการเมืองใหม่ที่พาไทยออกจากวิกฤติ... หวังใจจริงๆว่าวัฏจักรเก่าๆเดิมๆจะไม่หวนกลับคืนมาอีก.