“พิชัย” จี้ ทุจริตพุ่งสูงแทบทุกด้าน โดยเฉพาะทุจริตทางอำนาจ ชี้ 4 ปีหลังเลือกตั้ง เศรษฐกิจไทยโตไม่ถึง 1% และจะยิ่งทรุด แนะ ต้องเร่งเปลี่ยนรัฐบาลก่อนไทยล้าหลังตกยุค

วันที่ 31 ม.ค.นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองประธานยุทธศาสตร์และการเมืองพรรคเพื่อไทย กล่าวในงานเสวนา “หยุด ประยุทธ์ หยุด คอร์รัปชัน หยุด ยาเสพติด หยุด ธุรกิจสีเทา” ว่า การทุจริตคอร์รัปชันในรัฐบาลเกิดขึ้นมาตลอด และรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ โดยล่าสุดยังมีดาราสาวไต้หวันถูกตำรวจไทยไถเงิน ต่อจากคลิปนักท่องเที่ยวจีนจ้างตำรวจไทยรับตั้งแต่สนามบิน จนมีรถตำรวจนำพาเที่ยวที่คนเข้าดูเป็นล้านๆ คน และก่อนหน้านี้ก็มีคดีตู้ห่าว ซึ่งเกี่ยวพันถึงหลานชายพลเอกประยุทธ์ ที่พลเอกประยุทธ์ไม่ยอมตอบคำถามสื่อ และก็มีการทุจริตของอธิบดีกรมอุทยานฯ ที่เกี่ยวข้องเป็นญาติกับเพื่อนสนิทพลเอกประยุทธ์ นอกจากนี้ยังพิสูจน์ได้ชัดเจนจากดัชนีสากลที่วัดความโปร่งใสในการทำธุรกิจในประเทศไทย ซึ่งปรากฏว่าอันดับความโปร่งใสของประเทศไทยลดลงมาโดยตลอด โดยในปี 2560 อยู่อันดับที่ 96 ปี 2561 อยู่อันดับที่ 99 ปี 2562 อยู่อันดับที่ 101 และปี 2563 อยู่อันดับที่ 104 และปี 2564 อยู่อันดับที่ 110 ซึ่งชัดเจนว่าทุจริตในประเทศไทยเพิ่มขึ้นมาตลอด

การทุจริตขยายวงกว้างในทุกวงการ ทั้งเรื่อง ตำรวจ ทหาร ข้าราชการ ทั้งเรื่องการซื้อขายเพื่อโยกย้ายตำแหน่ง จนเป็นสาเหตุให้ยาเสพติดระบาดมาก การดันทุรังซื้อเรือดำน้ำทั้งที่เครื่องยนต์ไม่ตรงสเปก แต่จะเอาเครื่องยนต์อื่นใส่ เรือล่มโดยไม่มีเสื้อชูชีพเพียงพอ รวมไปถึงทุจริตด้านนโยบาย การอนุญาตให้เกิดการผูกขาด ซึ่งเป็นผลเสียต่อเศรษฐกิจอย่างมาก

แต่การทุจริตที่ร้ายแรงและส่งผลกระทบอย่างมากกับประเทศจนถึงปัจจุบันคือการทุจริตทางด้านอำนาจ ซึ่งทำให้ประเทศเสื่อมถอยจนถึงปัจจุบัน ตั้งแต่การปฏิวัติรัฐประหาร และยังจะสืบทอดอำนาจโดยการเขียนรัฐธรรมนูญเพื่อเข้าข้างตนเอง แต่ความรู้ความสามารถไม่ถึงทำให้เศรษฐกิจย่ำแย่จนถึงปัจจุบัน พอคนวิจารณ์ก็ถูกเรียกปรับทัศนคติเหมือนที่ตนเคยถูกเรียกทั้งหมด 12 หน และตั้งแต่มีการเลือกตั้งในปี 2562 เป็นต้นมา เศรษฐกิจไทยยังอยู่กับที่ไม่ได้ไปไหนเลย เศรษฐกิจปี 2562 ขยายได้เพียง 2.4% ในปี 2563 เศรษฐกิจติดลบที่ -6.2% จากวิกฤตการณ์โควิดในปี 2564 ขยายได้เพียง 1.5% และปี 2565 น่าจะขยายได้เพียง 3% รวม 4 ปีแล้วเศรษฐกิจไทยยังขยายได้ไม่ถึง 1% ตลอด 4 ปีซึ่งย่ำแย่อย่างมาก แต่พลเอกประยุทธ์ก็ยังจะอยากอยู่ต่อ

...

"แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปีนี้อาจจะไม่ได้ดีนัก เพราะเศรษฐกิจโลกจะไม่ดี และอาจจะถึงขนาดเป็นเศรษฐกิจถดถอยได้ เวิล์ดแบงก์ ลดการคาดประมาณเหลือแค่ 1.7% ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกและการลงทุน รวมถึงการท่องเที่ยวของไทยได้ อีกทั้งยังจะมีความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ 5 เรื่องคือ เรื่องปัญหาหนี้ ทั้งหนี้ประเทศ และหนี้ครัวเรือน และหนี้เสียในระบบ ปัญหาเศรษฐกิจโลกที่จะถดถอย ที่มีการลดการคาดประมาณเรื่อยๆ ปัญหาอัตราดอกเบี้ยที่น่าจะยังเป็นขาขึ้น ล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทยขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% และมีแนวโน้มจะขึ้นอีก และน่าจะมีผลกระทบต่ออัตราแลกเปลี่ยน ปัญหาเงินเฟ้อที่ปีที่แล้วพุ่งถึง 6.08% และปีนี้น่าจะทะลุ 3% และปัญหาราคาพลังงาน ที่ราคาไฟฟ้า และราคาก๊าซยังพุ่งสูง โดยพลเอกประยุทธ์ไม่ได้เตรียมตัว หรือแผนรองรับเลย ทุกวันนี้ทำทุกอย่างเพื่อจะรักษาอำนาจ และเพื่อจะเป็นนายกฯ ต่อไปเท่านั้น ซึ่งจะยิ่งทำให้ปัญหาของประเทศมากขึ้น เพียงเพราะต้องการรักษาอำนาจ และเป็นการทุจริตทางอำนาจที่ทำความเสียหายอย่างร้ายแรง โดยเฉพาะการทุจริตทางอำนาจ และ การปรับระบบราชการเป็นระบบดิจิตอลจะแก้ปัญหาและป้องกันการทุจริตคอร์รัปชันได้ และจะยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศอย่างมาก และอยากให้เชื่อมั่นพรรคเพื่อไทยให้เข้ามาเป็นรัฐบาลเพื่อแก้ไขปัญหานี้ ก่อนที่ประเทศไทยจะล้าหลังตกยุคไปมากกว่านี้" นายพิชัย กล่าว.