ครม. เห็นชอบ 2 โครงการท่องเที่ยว “เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 5” รวม 560,000 สิทธิ์ เริ่ม ก.พ.-ก.ย. 66 ย้ำ ไม่หนุนค่าตั๋วเครื่องบินแล้ว พร้อมกระตุ้นท่องเที่ยวในประเทศฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด-19
วันที่ 24 ม.ค. 2566 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงข่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เสร็จสิ้น โดยหนึ่งในเรื่องสำคัญวันนี้ คือ ครม. มีมติอนุมัติโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 5” และโครงการกระตุ้นการท่องเที่ยวเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศไทย หลังหารือกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว เพื่อพิจารณาแนวทางกระตุ้นตลาดการท่องเที่ยว ฟื้นเศรษฐกิจภายในประเทศ ตลอดจนสนับสนุนกิจการภาคการท่องเที่ยว สร้างรายได้ให้กับประเทศ ภายหลังมาตรการผ่อนคลายจากสถานการณ์โควิด-19 แบ่งเป็น 2 ส่วน รวม 3,946,434,800 บาท ดังนี้
1. โครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 5 เริ่มตั้งแต่ ก.พ.-ก.ย. 2566 จะใช้วงเงินรวมทั้งสิ้น 2,016,000,000 บาท ให้สิทธิ์ 560,000 สิทธิ์ กลุ่มเป้าหมาย 112,000 คน โดย 1 คนจะได้รับสิทธิ์สูงสุดไม่เกิน 5 สิทธิ์ (จากเดิม 10 สิทธิ์) และเป็นการกระจายตัวนักท่องเที่ยวภายในประเทศที่ประกอบด้วย 560,000 สิทธิ์ โดยรัฐบาลจะสนับสนุนให้ 40% แต่ไม่เกิน 3,000 บาทต่อห้อง และจะมีคูปอง (E-Voucher) ให้อีก 560,000 สิทธิ์ โดยรัฐบาลสนับสนุน 40% แต่ไม่เกิน 600 บาทต่อสิทธิ์ โดยไม่มีการสนับสนุนค่าตั๋วเครื่องบินอย่างที่ผ่านมา ส่วนวันที่จะเริ่มละทะเบียนขอให้ติดตามจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
สำหรับผู้เข้าร่วมโครงการต้องมีอายุ 18 ปีขึ้นไป ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการผ่านเว็บไซต์ www.เราเที่ยวด้วยกัน.com พร้อมติดตั้งแอปพลิเคชันเป๋าตัง โดยต้องจองห้องพักล่วงหน้าก่อนเดินทาง 7 วัน ซึ่งผู้ที่ไม่เคยเข้าร่วมมาตรการลงทะเบียนและยืนยันตัวตนเพื่อรับสิทธิ์จำนวน 5 สิทธิ์
...
ส่วนประชาชนที่เคยใช้สิทธิ์แล้ว สามารถกดให้ความยินยอม (consent) ในระบบได้เลย โดย 5 สิทธิ์ดังกล่าวไม่นับรวมสิทธิ์ที่ใช้แล้วในโครงการเราเที่ยวด้วยกันเฟส 4 และผู้เข้าร่วมโครงการจะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคล เช่นเดียวกับโครงการเราเที่ยวด้วยกันเฟส 4 เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์โครงการที่มุ่งให้เกิดการใช้จ่ายและการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจในภาคการท่องเที่ยว รวมทั้งเป็นการบรรเทาภาระของประชาชน
ทั้งนี้ โครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 5 ยังมีแนวทางป้องกันการทุจริต ซึ่งธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จัดให้มีระบบแสดงจำนวนห้องพักของแต่ละโรงแรม/ที่พัก หากมีการจองเกินจำนวนห้องที่แจ้งไว้ ระบบจะสามารถจำกัดการจองได้ โดยมอบให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานสาขาในประเทศ เป็นผู้ดำเนินการ และเพื่อป้องกันการขึ้นราคาห้องพักเกินจริง จึงให้มีการระบุในแบบฟอร์มยินยอม (consent) ให้ชัดเจน หากโรงแรมที่พักเจตนาขึ้นราคาห้องพักเกินจริง สามารถเอาผิดเรียกเงินคืนและระงับการจ่ายได้ รวมถึงต้องรับโทษถึงการตัดสิทธิ์ในการเข้าร่วมทุกโครงการของรัฐบาล นอกจากนี้จะมีระบบสแกนใบหน้าของผู้ใช้สิทธิ์ในการเช็กอินเข้าพักและการใช้ E-Voucher เพื่อป้องกันการใช้บัตรประชาชนผู้อื่นสวมสิทธิ์
2. โครงการกระตุ้นการท่องเที่ยวเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศไทย เป็นการกระตุ้นการท่องเที่ยวในพื้นที่เมืองรอง ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติหลังผ่อนคลายมาตรการโควิด-19 รวมถึงประชาสัมพันธ์ สนับสนุนเชิญชวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศให้มากขึ้น โดยมีกรอบวงเงิน 1,930,434,800 บาท ประกอบด้วย
(1) การกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวเดินทางมายังประเทศไทยจากต่างประเทศ โดยเน้นการนำเสนอ Soft Power ผ่าน Digital Market และกิจกรรมทางการตลาด
(2) กระตุ้นท่องเที่ยวไทยเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ (ไทยเที่ยวไทย) ให้ประชาชนเดินทางท่องเที่ยวบ่อยครั้งขึ้น
(3) การสื่อสารและประชาสัมพันธ์ เผยแพร่และสร้างกระแสการเดินทางภายในประเทศ ภายใต้แคมเปญ Amazing Thailand, Amazing New Chapters
(4) การยกระดับคุณภาพสินค้าเพื่อกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยว
สำหรับพื้นที่ดำเนินการ คือ จังหวัดทั่วประเทศไทย ระยะเวลาดำเนินการในช่วงเดือน ก.พ.-ก.ย. 2566 ซึ่งเป้าหมายของโครงการเพื่อช่วยผลักดันและสนับสนุนการสร้างรายได้ทางการท่องเที่ยวให้เป็นไปตามเป้าหมาย 2.38 ล้านล้านบาท
โฆษกรัฐบาลกล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า การดำเนินโครงการอยู่ในช่วงระหว่างเดือน ก.พ.-ก.ย. 2566 ซึ่งเป็นช่วงฤดูการท่องเที่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทศกาลสงกรานต์ และวันหยุดต่อเนื่องจากนักขัตฤกษ์ในเดือน พ.ค., มิ.ย. และ ส.ค. 2566 ช่วยกระตุ้นรายได้ให้กับประเทศทำให้ระบบเศรษฐกิจขับเคลื่อนต่อเนื่อง รวมทั้งยังเป็นการช่วงชิงโอกาสในการแข่งขันกับประเทศต่างๆ ภายใต้สถานการณ์โควิด-19 ที่ไม่รุนแรงและมาตรการเดินทางระหว่างประเทศไม่มีข้อจำกัด.