“วรงค์” หัวหน้าพรรคไทยภักดี ร้อง สตง. สอบเปลี่ยนป้ายสถานีกลางบางซื่อเป็นสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ แนะ รมว.คมนาคม ระงับโครงการรอผลสอบ ลั่น แคลงใจ รฟท.ตั้งแต่รถไฟรางคู่เหนือ-อีสาน

เมื่อวันที่ 5 ม.ค. 2566 นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี พร้อมคณะผู้บริหารพรรคเดินทางเข้ายื่นหนังสือต่อสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ให้ตรวจสอบกระบวนการว่าจ้างเอกชนเปลี่ยนป้ายชื่อสถานีกลางบางซื่อ โดยวิธีเฉพาะเจาะจง ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 33 ล้านบาทเป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลหรือไม่

โดย นพ.วรงค์ กล่าวว่า พรรคไทยภักดีสนับสนุนการเปลี่ยนชื่อจากสถานีกลางบางซื่อไปเป็นสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ แต่สิ่งที่ประชาชนตั้งข้อสังเกตคือ ทำไมถึงราคาแพงเพราะตั้งงบประมาณกลางไว้ 34 ล้านบาท แต่มีการชี้เฉพาะเจาะจงที่ราคา 33 ล้านบาท ขณะเดียวกันการจัดจ้างก็ใช้โดยวิธีเฉพาะเจาะจง โดยอ้างว่าเป็นเรื่องความเร่งด่วน ซึ่งหากลองไปดูสถานที่จริง จะพบว่าไม่ได้มีอะไรซับซ้อน แน่จริงเปิดประมูลใหม่ เชื่อว่าจะได้ราคาถูกกว่านี้แน่

...

“ผมเชื่อตอนนี้การเมืองกำลังหารายได้ เพราะกำลังจะมีการเลือกตั้ง การกระทำอะไรหลายๆ อย่างของรัฐวิสาหกิจ เชื่อว่ามีฝ่ายการเมืองสั่งการ เพียงแต่ไม่มีเป็นลายลักษณ์อักษร จึงขอเรียกร้องรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ควรสั่งระงับ ให้ สตง.ตรวจสอบก่อนว่า เป็นจริงตามข้อกล่าวหาหรือไม่” หัวหน้าพรรคไทยภักดี กล่าว

นพ.วรงค์ กล่าวต่อว่า พรรคไทยภักดีติดตามการทำงานของการรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) และฝ่ายการเมืองผู้เกี่ยวข้องมาต่อเนื่อง เพราะที่ผ่านมา รฟท.ได้สร้างข้อกังขาให้กับประชาชนในหลายประเด็น โดยเฉพาะการประมูลรถไฟรางคู่สายเหนือ-อีสาน วงเงิน 128,000 ล้านบาท โดยมีการซอยย่อยเป็น 5 สัญญา ปรากฏว่ามีบริษัทใหญ่ 5 บริษัทเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้การประมูลครั้งนั้นที่พรรคไทยภักดีร้องเรียนไปยังนายกรัฐมนตรีพบว่า งบประมาณ 128,000 ล้านบาท ประหยัดไปเพียงร้อยกว่าล้าน และเรื่องนี้ตอนหลังก็เงียบหายไป นี่ยังเป็นสิ่งที่เป็นข้อกังขาที่พรรคไทยภักดีและประชาชนตั้งข้อสงสัยว่ามีการเอื้อประโยชน์ หรือนำไปสู่การทุจริตหรือไม่