“พล.อ.ประยุทธ์” ห่วงประชาชนพื้นที่ภาคใต้ ย้ำทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมพร้อมเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมฉับพลัน-น้ำป่าไหลหลาก ช่วง 6-11 ม.ค.นี้ กำชับ ต้องแจ้งเตือนล่วงหน้า และอพยพได้ทันทีหากเกิดเหตุ
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีความห่วงใยประชาชนในพื้นที่ภาคใต้ โดยนายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยวันนี้ (5 มกราคม 2566) ว่า เนื่องจากขณะนี้การคาดการณ์สภาพอากาศ กรมอุตุนิยมวิทยา พบว่า หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณทะเลจีนใต้ตอนล่างมีแนวโน้มจะมีกำลังแรงขึ้น และเคลื่อนเข้าใกล้ปลายแหลมญวณ ประกอบกับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้จะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ในช่วงวันที่ 6-8 มกราคม 2566 บริเวณภาคใต้จะมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง
ประกอบกับสถานการณ์น้ำจากฝน คาดการณ์จากกรมอุตุนิยมวิทยา และสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) พบพื้นที่เสี่ยงเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำ ในช่วงวันที่ 6-11 มกราคม 2566 โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยงน้ำหลาก น้ำท่วมขัง บริเวณพื้นที่
- จังหวัดสุราษฎร์ธานี อำเภอกาญจนดิษฐ์ ดอนสัก พนม เวียงสระ เกาะสมุย และเกาะพะงัน
- จังหวัดนครศรีธรรมราช อำเภอเชียรใหญ่ เฉลิมพระเกียรติ ท่าศาลา นบพิตำ ปากพนัง พรหมคีรี พระพรหม เมืองนครศรีธรรมราช ร่อนพิบูลย์ ลานสกา และสิชล
- จังหวัดพัทลุง อำเภอกงหรา เขาชัยสน ควนขนุน ตะโหมด บางแก้ว ปากพะยูน ป่าบอน เมืองพัทลุง และศรีนครินทร์
- จังหวัดสงขลา อำเภอกระแสสินธุ์ ควนเนียง จะนะ เทพา บางกล่ำ เมืองสงขลา ระโนด รัตภูมิ และหาดใหญ่
- จังหวัดปัตตานี อำเภอกะพ้อ โคกโพธิ์ ทุ่งยางแดง ปะนาเระ มายอ เมืองปัตตานี ไม้แก่น ยะรัง ยะหริ่ง สายบุรี และหนองจิก
- จังหวัดยะลา อำเภอรามัน
- จังหวัดนราธิวาส อำเภอจะแนะ เจาะไอร้อง ตากใบ บาเจาะ เมืองนราธิวาส ยี่งอ ระแงะ รือเสาะ แว้ง สุคิริน สุไหงโก-ลก และสุไหงปาดี
...
โฆษกรัฐบาล ระบุต่อไปว่า นายกรัฐมนตรีจึงเน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่จังหวัดดังกล่าว เตรียมพร้อมทุกด้านและเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะระดับน้ำที่เพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันและน้ำล้นตลิ่ง บริเวณแม่น้ำสายหลักและลำน้ำสาขาของแม่น้ำตาปี แม่น้ำปากพนัง แม่น้ำตรัง คลองชะอวด แม่น้ำสายบุรี แม่น้ำปัตตานี แม่น้ำบางนรา และแม่น้ำโก-ลก
นอกจากนี้ พลเอกประยุทธ์ ยังกำชับให้เฝ้าระวังอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่มีแนวโน้มปริมาตรน้ำสูงกว่าเกณฑ์ปฏิบัติการเก็บกักน้ำสูงสุด (Upper Rule Curve) รวมทั้งอ่างขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีปริมาตรน้ำมากกว่าร้อยละ 80 และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น เสี่ยงน้ำล้นกระทบพื้นที่ด้านท้ายน้ำ โดยเฉพาะเขื่อนบางลางให้พิจารณาบริหารจัดการน้ำให้เหมาะสม เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบหรือเกิดผลกระทบน้อยที่สุดบริเวณท้ายเขื่อน ตลอดจนเฝ้าระวังคลื่นซัดฝั่งที่อาจจะส่งผลกระทบต่อประชาชน และผู้ประกอบกิจการบริเวณแนวชายฝั่งทะเลตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราช จนถึงจังหวัดนราธิวาสด้วย เพื่อให้พร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นและช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ได้อย่างทันท่วงที ลดและป้องกันการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่
“สำหรับการเตรียมความพร้อมรับมือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งนายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญและเน้นย้ำ เช่น การติดตามสภาพอากาศและสถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีฝนตกสะสมมากกว่า 90 มิลลิเมตร ในช่วงเวลา 24 ชั่วโมง และพื้นที่จุดเสี่ยงที่เคยเกิดน้ำท่วมอยู่เป็นประจำ การปรับการบริหารจัดการน้ำในแหล่งเก็บกักน้ำขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ขนาดเล็ก น้ำในลำน้ำ รวมถึงเขื่อนระบายน้ำและประตูระบายน้ำ ให้สอดคล้องกันตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำและ อิทธิพลของการขึ้น-ลงของน้ำทะเล โดยการเร่งระบายและพร่องน้ำรองรับสถานการณ์ฝนที่คาดว่าจะตกหนัก รวมทั้งติดตาม ตรวจสอบ ซ่อมแซม แนวคันบริเวณริมแม่น้ำ และเร่งกำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ เตรียมแผนรับสถานการณ์น้ำหลาก เตรียมความพร้อมบุคลากร เครื่องจักรเครื่องมือ รวมถึงความพร้อมของระบบสื่อสารสำรอง เพื่อบูรณาการความพร้อมให้ความช่วยเหลือได้ทันที สิ่งสำคัญคือการประชาสัมพันธ์สถานการณ์น้ำและแจ้งเตือนล่วงหน้าให้ประชาชนที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบได้รับทราบข้อมูลที่ถูกต้องชัดเจน เพื่อเตรียมพร้อมอพยพได้ทันท่วงทีหากเกิดสถานการณ์”.