คลอดออกมาแล้ว “ช้อปดีมีคืนปี 66” ของขวัญปีใหม่จากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงต้นปี 2566 ก่อนการเลือกตั้งใหญ่ แต่ดูรายละเอียดแล้ว กลับไม่ปังอย่างที่ทุกคนคาดหวัง ของขวัญปีใหม่ไม่ได้แจกลงไปถึง ประชาชนรากหญ้า ที่กำลังเดือดร้อนและคาดหวัง แต่แจกให้กับคนมีรายได้สูงระดับบน ที่สามารถซื้อสินค้าและบริการได้ในระยะเวลาสั้น เพื่อนำไปลดหย่อนภาษีเงินได้คนละ 40,000 บาท ส่วน ประชาชนรากหญ้า ได้ก็เหมือนไม่ได้ เพราะมีแต่ “โครงการชำระหนี้ดีมีคืน” คือ ชำระหนี้ดีทุกเดือน แบงก์รัฐลดดอกเบี้ยให้เป็นของขวัญ บางแบงก์ให้บัตรกำนัล 300 บาท

รัฐบาลยุคลุงตู่ จึงเป็นยุคที่ คนรวยยิ่งรวย คนจนยิ่งจน จนทำสถิติเป็น รัฐบาลที่มีคนจนมากที่สุดถึง 21 ล้านคน จากการลงทะเบียน “บัตรคนจน” ล่าสุดของรัฐบาล

ไปดูของขวัญปีใหม่ที่เพิ่งผ่าน ครม.กันเสียหน่อยครับ อันดับ 1 ช้อปดีมีคืน เริ่มตั้งแต่ 1 มกราคม-15 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นเวลา 46 วัน ให้บุคคลธรรมดาหักลดหย่อนภาษี ค่าซื้อสินค้าและค่าบริการตามจำนวนเงินที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 40,000 บาท แบ่งเป็น ค่าซื้อสินค้าและบริการที่ออกใบกำกับภาษีแบบกระดาษหรืออิเล็กทรอนิกส์ 30,000 บาท และ ค่าสินค้าและบริการที่ออกใบกำกับภาษีในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์อีก 10,000 บาท เพื่อสนับสนุนการใช้ระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ แต่ไม่รวมสินค้าและบริการ 10 ประเภท เช่น สุรา ยาสูบ รถยนต์ จักรยานยนต์ เรือ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร ฯลฯ

คุณรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกสำนักนายกฯ แถลงว่า ประโยชน์ที่จะได้รับจากมาตรการ “ช้อปดีมีคืน” ก็คือ ทำให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มประมาณ 56,000 ล้านบาท ส่งผลให้จีดีพีเพิ่มขึ้น 0.16% และส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น

...

ของขวัญถัดมาคือ ลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างปี 2566 ในอัตราร้อยละ 15 หลังจากที่ กรมธนารักษ์ ประกาศจะเก็บภาษีเต็ม 100% ในปีหน้า ลดค่าจดทะเบียนการโอนอสังหาริมทรัพย์จากร้อยละ 2 เหลือร้อยละ 1 และ ลดค่าจดทะเบียนจำนองอสังหาริมทรัพย์จากเดิมร้อยละ 1 เหลือร้อยละ 0.01 สำหรับการซื้อขายที่อยู่อาศัยทั้งบ้านมือ 1 และมือ 2 ที่มีราคาซื้อขายและราคาประเมินไม่เกิน 3 ล้านบาท

แต่ของขวัญที่คนใน สภาอุตสาหกรรม และ สภาหอการค้า เห็นแล้วอึ้งก็คือ

การลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิงเครื่องบินไอพ่น สำหรับอากาศยานภายในประเทศ จาก ลิตรละ 4.726 บาท เหลือ ลิตรละ 0.20 บาท โดย ลดภาษีไปลิตรละ 4.50 บาท หรือ ลดไป 95% มีผลตั้งแต่ 1 มกราคม–30 มิถุนายน 2566 นาน 6 เดือน โดยให้เหตุผลว่า เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวให้ฟื้นตัวต่อเนื่อง และบรรเทาผลกระทบการดำเนินธุรกิจหลังสถานการณ์การระบาดของโควิด–19 ธุรกิจอื่นเห็นแล้วได้แต่ข้องใจ ทำไมรัฐบาลลุงตู่จึงช่วยเพียงธุรกิจเดียว ทั้งที่ธุรกิจอื่นก็ประสบปัญหาเดียวกัน ทุกวันนี้เที่ยวบินในประเทศแน่นทุกเที่ยวบิน ค่าตั๋วก็ไม่ได้ราคาถูก เฉลี่ย 3-5 พันบาทต่อที่นั่ง เว้นแต่จองโปรพิเศษได้ ยิ่งค่าตั๋วไปต่างประเทศแพงกว่าเดิม 20-30% กำไรกันพุงปลิ้นทุกสายการบิน

แต่ สภาอุตสาหกรรม และ สภาหอการค้า เรียกร้องให้รัฐบาล ตรึงค่าไฟฟ้าไว้ที่ 4.72 บาทต่อหน่วย รัฐบาลลุงตู่กลับไฟเขียวขึ้นราคาไปสูงถึง 5.69 บาทต่อหน่วย อ้างค่าก๊าซแพงค่าน้ำมันแพงค่าเอฟทีวุ่นไปหมด ส่งผลให้ต้นทุนสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น 15-20% เมื่อส่งผ่านไปถึงประชาชนผู้บริโภคอาจแพงกว่า 15-20% แทนที่รัฐบาลจะช่วยเหลือประชาชนส่วนใหญ่กลับไปเอื้อสายการบินไม่กี่บริษัท เป็นพฤติกรรมที่ไม่น่าไว้วางใจในยามใกล้เลือกตั้ง

ผลจาก ค่าไฟฟ้าแพง จะส่งผ่านไปถึง คนไทยทุกครัวเรือน ในต้นปีหน้า ราคาสินค้าและบริการจะแพงขึ้น 15-20% ส่งผลให้เงินเฟ้อพุ่งขึ้นถึง 3% คนไทยจะเดือดร้อนกันทุกคน เมื่อถึงวันเลือกตั้งคงตัดสินใจไม่ยาก จะเลือก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมาเป็นนายกฯอีกหรือไม่.

“ลม เปลี่ยนทิศ”