“นฤมล ภิญโญสินวัฒน์” เสนอ 3 ข้อเร่งฟื้นเศรษฐกิจไทย ดันส่งออกเกษตร รัฐลงทุน กระตุ้นท่องเที่ยว หลังเริ่มเห็นสัญญาณบวกตัวเลขการลงทุนภาคเอกชน และการบริโภคที่ขยายตัวมากขึ้น

วันที่ 18 ธันวาคม 2565 นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการทรวงแรงงาน และเหรัญญิกพรรคพลังประชารัฐ โพสต์ Facebook ส่วนตัวระบุถึงตัวเลขทางเศรษฐกิจจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์ฯ) และ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ณ สิ้น พ.ย.65 เริ่มเห็นสัญญาณบวกของภาคเอกชน ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขการลงทุนของภาคเอกชนที่ขยายตัวสูงกว่าคาดการณ์ และปรับตัวสูงขึ้นจาก +3.3% ในปี 64 เป็น +5.1% การบริโภคของภาคเอกชนขยายตัวสูงขึ้นกว่าปีที่แล้วมาก จาก +0.3% ในปี 64 เป็น +6.1% ในปี 65

ภาคท่องเที่ยวก็ฟื้นตัวดีเกินคาด จากที่คาดว่าปี 65 จะมีนักท่องเที่ยว 9.5 ล้านคน ล่าสุดคาดว่าถึงสิ้นปีน่าจะมีนักท่องเที่ยวรวม 10.5 ล้านคน ปี 66 และ 67 คาดว่านักท่องเที่ยวจะเพิ่มเป็น 22 ล้านคน และ 31.5 ล้านคน ตามลำดับ เมื่อข้อจำกัดด้านเที่ยวบินและการเดินทางระหว่างประเทศ คลี่คลายมากขึ้น
ตัวเลขการส่งออกทั้งปี ยังขยายตัว และชะลอลงกว่าที่คาดและน้อยกว่าการขยายตัวเมื่อปี 64 ที่ขยายตัวสูงถึง +18.8% ปี 65 นี้น่าจะขยายตัวได้เต็มที่แค่ 7.4% เป็นผลมาจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก แม้ในปี 66 และ 67 ก็คาดว่าน่าจะขยายตัวไม่มากจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก กลุ่มสินค้ายานยนต์ เครื่องนุ่งห่ม เครื่องใช้ไฟฟ้า ได้รับผลกระทบมากที่สุด ในขณะที่สินค้าเกษตรยังสามารถไปได้ดีและจะเป็นพระเอกของภาคการส่งออกไทย แต่ปรากฏว่า การลงทุนของภาครัฐกลับหดตัว จาก +3.8% ในปี 64 กลายเป็น -1.5% ในปี 65 การอุปโภคของภาครัฐก็หดตัวเช่นกัน จาก +3.2% ในปี 64 กลายเป็น -0.2% ในปี 65

...

ทั้งนี้ เพื่อให้ไม่เป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ควรเร่งทำ 3 เรื่อง ประกอบด้วย

1. เร่งกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวเพิ่ม และเตรียมแผนแรงงานรองรับภาคการท่องเที่ยวและธุรกิจภาคบริการที่เชื่อมโยงกับการท่องเที่ยว เพราะจะเป็นตัวจักรสำคัญที่ยังเหลืออยู่ในการเร่งเครื่องฟื้นฟูเศรษฐกิจ

2. เร่งขยายตลาดเพื่อการส่งออกสินค้าเกษตร โดยเฉพาะสินค้าเกษตรแปรรูป เพื่อรักษาการขยายตัวของภาคการส่งออก

3. เร่งเครื่องการลงทุนภาครัฐ ต้องออกจากกรอบแนวคิดเพียงแค่การกู้เพื่อมาลงทุนในงบประมาณแผ่นดินประจำปี เพราะจะติดข้อจำกัดเพดานหนี้สาธารณะ ต้องใช้กลไกการร่วมทุนระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชนหรือ PPP ให้มากกว่าที่ทำอยู่ และใช้ศักยภาพของตลาดทุนไทยด้วยการระดมทุนผ่านกองทุนรวมเพื่อการพัฒนาประเทศ