เมื่อวานนี้ผมเขียนถึงบทสัมภาษณ์ว่าด้วยมุมมองในหลายๆด้านของเจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโสเครือซีพี แต่เผลอไปบอกว่าเป็นการให้สัมภาษณ์พิเศษแก่ทีมข่าวเศรษฐกิจไทยรัฐโดยเฉพาะ
ขออนุญาตแก้ความเข้าใจผิดด้วยนะครับว่า บทสัมภาษณ์นี้เป็นการให้สัมภาษณ์แก่ผู้สื่อข่าวทุกสำนักเมื่อช่วงเอเปกที่ผ่านมาของเจ้าสัวซีพีลงกันทุกฉบับและออกทีวีอยู่หลายช่องทีเดียว
ขณะเดียวกันก็ทราบในโอกาสต่อมาว่าเป็นบทสัมภาษณ์ที่เรียกเสียงวิจารณ์ได้กระหึ่มโซเชียล โดยเฉพาะกรณีที่ท่านแสดงความคิดเห็นเรื่องเห็นด้วยกับนโยบายการให้คนต่างด้าวถือครองที่ดินได้ 1 ไร่ของรัฐบาล จนถูกวิจารณ์ว่าเป็นนโยบายขายชาตินั้น มีปฏิกิริยาตอบสนองมากที่สุด จนอาจใช้สำนวนว่า “ทัวร์ลง” ได้เลย
ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด...เพราะใน อารัมภบท ของทีม เศรษฐกิจไทยรัฐ ก็เกริ่นไว้แล้วว่า คุณธนินท์เป็นอัครมหาเศรษฐีที่มักออกมาแสดงความคิดเห็นต่างๆเสมอๆ ต่างกับมหาเศรษฐีนักธุรกิจอื่นๆ
นับเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ซีพีในฐานเครือข่ายขนาดใหญ่ของประเทศตกเป็นจำเลยสังคมได้โดยง่าย จนเคยมีคนกล่าวเอาไว้ว่า “ซีพีคือเป้าใหญ่...ยิงมั่วก็ยังถูก” ทีมข่าวไทยรัฐกล่าวนำไว้อย่างนั้น
แต่ผมก็ยังหวังว่าคำกล่าวของท่านเจ้าสัวที่ยํ้าไว้หลายครั้งในบทสัมภาษณ์ล่าสุดว่า “ซีพีต้องตอบแทนคุณแผ่นดิน” นั้นจะทำให้สังคมไทยหันมามองท่านในแง่ดีมากขึ้น
ขอเพียงว่า เมื่อกล่าวแล้วพูดแล้วก็ลงมือดำเนินให้เห็นอย่างเป็น รูปธรรมว่าท่านได้ตอบแทนพระคุณแผ่นดินทั้งทางตรงและทางอ้อมในเรื่องใดๆบ้าง...ทำไปเรื่อยๆอย่างอดทนอย่างจริงจังและจริงใจ ในที่สุดประชาชนส่วนใหญ่ก็จะเข้าใจและยอมรับท่าน
...
ผมเองโดยส่วนตัวเชื่อเช่นเดียวกับนักเศรษฐศาสตร์ทั่วโลกว่าสถานการณ์โควิด-19 ในช่วง 2 ปีเศษที่ผ่านมาได้ทำให้เศรษฐกิจโลกทรุดลงอย่างรุนแรงที่สุดนับแต่ยุคเศรษฐกิจตกตํ่าครั้งใหญ่ช่วง ค.ศ.1930 เป็นต้นมา...รวมถึงในบ้านเราด้วย
การจะทำให้ฟื้นตัวขึ้นมาอีกนั้น ผมไม่มั่นใจว่าลำพังภาครัฐอย่างเดียวจะทำได้สำเร็จ...จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ภาคเอกชนซึ่งกุมชะตาเศรษฐกิจของประเทศมากกว่ารัฐอย่างมากมายในยุคนี้จะต้องหันมาร่วมมือกันในการช่วยฟื้นฟู
ผมจึงเรียกร้องมาตลอดขอให้นักธุรกิจที่ร่ำรวยทั้งหลายของประเทศ รวมทั้งเจ้าสัวซีพีด้วยให้หันมาร่วมมือกันเพื่อกอบกู้เศรษฐกิจของเราให้ฟื้นขึ้นมาให้จงได้
แม้จะเป็นเรื่องยากเพราะเมื่อประเทศใดประเทศหนึ่งตัดสินใจใช้ระบบ “ทุนนิยม” แล้ว...เรื่องของกำไรขาดทุนย่อมมาก่อนเสมอ...ไม่มีนักธุรกิจชาติไหนที่จะลงทุนโดยไม่หวังผลกำไร
แต่ผมก็แอบหวังของผมแบบนอกตำราว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่ไม่เหมือนใครอื่นในโลกนี้...เรามีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวม เรามีวัฒนธรรมประเพณีที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกันและกันมาแต่อดีตกาล
ผมยังจำได้ติดตาสมัยผมเป็นเด็กอยู่ต่างจังหวัดเดินไปตามหมู่บ้านจะมีตุ่มน้ำเล็กๆพร้อมขันน้ำเล็กๆวางไว้ให้ตักดื่มแทบทุกบ้าน
ทุกวันนี้อาจมีน้อยลง แต่เราก็มีความเอื้อเฟื้อในรูปแบบอื่นๆมาแทน
จึงหวังว่า “ทุนนิยมแบบไทยๆ” โดยความร่วมมือของ “คนรวย” ในประเทศไทยที่รู้จักอิ่ม รู้จักพอ และสำนึกในพระคุณของประเทศนี้จะช่วย “กู้ชาติ” ด้านเศรษฐกิจครั้งนี้ได้สำเร็จด้วยการลงทุนทั้งทางตรงและทางอ้อม แม้ว่าบางโครงการจะไม่ได้ผลกำไรก็ตาม
เพื่อนผมหลายคนเตือนผมว่า น่าจะเป็นความหวังลมๆแล้งๆ เสียมากกว่า เขียนไปก็เปลืองหน้ากระดาษ ซึ่งผมก็รับทราบและขอบคุณเพื่อนๆไปแล้วหลายครั้ง
แต่ก็ยังดื้อรั้นที่จะเขียนขอร้อง ขอความร่วมมือต่อไป ด้วยความเชื่อที่ว่าประเทศไทยเรามีอะไรไม่เหมือนประเทศอื่นนี่แหละครับ รวมทั้งนักธุรกิจไทยด้วย น่าจะมีจิตใจที่งดงามต้องการช่วยเหลือประเทศไทยและคนไทยเหนือกว่านักธุรกิจชาติใดๆ.
“ซูม”