คุณดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒน์ แถลงตัวเลขเศรษฐกิจไทยไตรมาส 3 เมื่อสายวันจันทร์ว่า ขยายตัว 4.5% เร่งขึ้นจาก 2.3% ในไตรมาส 1 และ 2.5% ในไตรมาส 2 แต่เมื่อปรับผลตามฤดูกาลออกไปแล้ว เศรษฐกิจไตรมาส 3 ขยายตัวเพียง 1.2% ส่งผลให้จีดีพีไทย 9 เดือนแรกขยายตัว 3.1% จากการอุปโภคบริโภคของภาคเอกชนที่ขยายตัวในเกณฑ์สูงจากการเปิดประเทศ ไตรมาส 3 มีนักท่องเที่ยวต่างประเทศเข้ามาเที่ยวไทยเพิ่มขึ้น 3.6 ล้านคน รายรับจากนักท่องเที่ยวไทยก็เพิ่มขึ้น 1,497% 158,000 ล้านบาท
เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ สิ้นเดือนกันยายนอยู่ที่ 2.0 แสนล้านดอลลาร์ โดยมีภาคการท่องเที่ยวพยุงเอาไว้ ส่วน หนี้สาธารณะรัฐบาล สิ้นเดือนกันยายนอยู่ที่ 10.37 ล้านล้านบาท คิดเป็น 60.7% ของจีดีพี
ท่านเลขาธิการสภาพัฒน์คาดว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2565 จะขยายตัว 3.2% เร่งขึ้นจาก 1.5% ในปี 2564 เมื่อรวมกับจีดีพีติดลบ 6.1% ในปี 2563 จีดีพี 3 ปีของไทยยังติดลบอยู่ 1.4% ยังไม่ฟื้นไข้จากโควิด อัตราเงินเฟ้อปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 6.3% ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์สูงเกินเป้าหมายเงินเฟ้อ ดุลบัญชีเดินสะพัดจะขาดดุล 3.6% ของดีจีพี แสดงว่าการส่งออกไทยจะแย่ลง แม้การท่องเที่ยวจะดีขึ้นก็ตาม ส่วนปีหน้า คุณดนุชา เลขาธิการสภาพัฒน์ คาดว่าจีดีพีปี 2566 จะขยายตัวได้ 3-4% มีค่ากลางอยู่ที่ 3.5% โดยมีปัจจัยหนุนจากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว การขยายตัวของการลงทุน และการบริโภคในประเทศ
ผมสรุปสั้นๆว่า ปีนี้เศรษฐกิจไทยยังเติบโตได้ 3.1% ปีหน้าเติบโตได้อีก 3.5% ไม่มีทางเลวร้ายไปกว่านี้อีกแล้ว โชคดีที่เรายังเติบโตได้ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่กำลังจะเข้าสู่ “ภาวะเศรษฐกิจถดถอย” (Recession) โดยเฉพาะ สหรัฐฯ และ ยุโรปหลายประเทศ วันนี้ อังกฤษ ก็เข้าสู่ภาวะถดถอยแล้ว ที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยเติบโตตํ่าและช้า เลยกลายเป็นโชคดีไป
...
วันก่อน ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการแบงก์ชาติ ได้พูดถึงเศรษฐกิจไทยในการประเมินของแบงก์ชาติว่า ปีนี้ยังโตได้ 3.3% ปีหน้าโต 3.8% การส่งออกปีนี้ยังโต 8% แต่ปีหน้าจะลดเหลือ 1% ตัวเลขเหล่านี้ได้ใส่ลงไปในการประมาณการหมดแล้ว ดังนั้น โอกาสที่จะเห็นจีดีพีไทยแย่มากๆตํ่ากว่า 3% เป็นไปได้น้อยมาก
แต่ การเติบโตจะไม่ราบรื่นจากความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะผลกระทบจาก ตลาดเงินโลก ยังไม่นับกรณี ธนาคารกลางสหรัฐฯ เร่งดูดเงินคิวอีออกจากระบบการเงินโลก
ดร.เศรษฐพุฒิ กล่าวว่า สิ่งที่น่ากลัวที่สุด นอกจาก กับดักระเบิดการเงินโลกแล้ว ก็คือ ความเสี่ยงจากนโยบายแปลกๆจากพรรคการเมือง ตอนนี้พรรคการเมืองต่างๆเริ่มหาเสียงเลือกตั้งในปีหน้าแล้ว มีการเสนอนโยบายประชานิยมเกี่ยวกับปัญหาหนี้ เช่น การพักหนี้ยาว 3 ปี 5 ปี พักดอกเบี้ย หรือ การเสนอให้ลบข้อมูลในเครดิตบูโร เพื่อให้คนเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น ซึ่งไม่มีที่ไหนในโลกเขาทำกัน เพราะจะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของระบบแบงก์ และสุดท้ายแล้วจะยิ่งทำให้คนเข้าถึงสินเชื่อได้ยากขึ้น
ความเสี่ยงจากนโยบายพรรคการเมือง ที่เราเห็นได้ชัดเจนจาก รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ในปัจจุบันก็คือ โครงการประกันราคาข้าว ที่ทำให้ ชาวนาถูกแช่แข็งอยู่ในกับดักรายได้ตํ่า และ นโยบายกัญชาเสรี ที่ ส่งเสริมให้คนไทยปลูกกัญชากันทุกครัวเรือน มีการแจกต้นกล้ากัญชาให้ประชาชนนำไปปลูกที่บ้านเป็นล้านต้นส่งผลให้เกิดวิกฤติสังคมตามมามากมาย เมื่อ “ทุกบ้านมียาเสพติด” สามารถเสพได้ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง
คำเตือนของ ผู้ว่าการแบงก์ชาติ เป็นคำเตือนที่ลึกซึ้งมีประโยชน์อย่างยิ่ง นโยบายแปลกๆ พรรคการเมือง กำลังกัดกร่อนทำลายคนไทยและประเทศไทยโดยไม่รู้ตัว.
“ลม เปลี่ยนทิศ”