“พล.อ.ประยุทธ์” ต้อนรับและหารือนายกฯ ญี่ปุ่น ประกาศยกระดับความสัมพันธ์สู่การเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน พร้อมพิจารณาใช้ไทยเป็นศูนย์กลางผลิตยานยนต์ไฟฟ้า

วันที่ 17 พฤศจิกายน 2565 เวลา 16.00 น. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หารือกับ นายคิชิดะ ฟูมิโอะ (H.E. Mr. KISHIDA Fumio) นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ที่ทำเนียบรัฐบาล ในโอกาสเยือนไทยเข้าร่วมการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปก (APEC 2022) เพื่อกระชับความสัมพันธ์อย่างรอบด้าน รวมทั้งแลกเปลี่ยนและสานต่อผลการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีไทยกับญี่ปุ่น

ทั้งนี้ นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสำคัญ ว่า พลเอกประยุทธ์ ยินดีที่ได้พบ หารือ ต้อนรับนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นและภริยา ไทยยินดีกับพลวัตทางความสัมพันธ์ที่ก้าวหน้ามาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการกลับมาดำเนินกิจกรรม และการไปมาหาสู่ระหว่างประชาชน ขณะที่นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น กล่าวยินดีที่ได้พบนายกรัฐมนตรีไทยอีกครั้ง นอกจากเข้าร่วมประชุมเอเปกแล้ว ยังเป็นโอกาสอันดีที่จะได้ติดตามและสานต่อผลการหารือระหว่างผู้นำทั้ง 2 จากที่นายกรัฐมนตรีได้พบกันเมื่อพฤษภาคม 2565 ที่ผ่านมา พร้อมขอบคุณที่สละเวลาให้เข้าพบก่อนที่การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจจะเริ่มขึ้นในวันพรุ่งนี้ (18 พฤศจิกายน 2565)

...

โอกาสนี้ ผู้นำทั้ง 2 ต่างยินดีในโอกาสครบรอบ 135 ปี ของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับญี่ปุ่นในปีนี้ และการครบรอบ 10 ปีของความสัมพันธ์หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ โดยไทยและญี่ปุ่นยังได้ยืนยันความพร้อมที่จะร่วมมือกันพัฒนาหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน อย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น เพื่อผลประโยชน์ร่วมกันของทั้ง 2 ประเทศ ประชาชน และภูมิภาค ซึ่งการลงนามและประกาศใช้แผนปฏิบัติการร่วมว่าด้วยหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่นในระยะ 5 ปี จะยิ่งช่วยสนับสนุนการพัฒนาหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน ด้านความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ไทยและญี่ปุ่นยินดีที่ความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างกันมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง

พลเอกประยุทธ์ กล่าวด้วยว่า ไทยพร้อมเป็นหุ้นส่วนกับญี่ปุ่นในการพัฒนาเทคโนโลยีด้านพลังงาน และส่งเสริมการลงทุนในธุรกิจพลังงานคาร์บอนต่ำ ซึ่งญี่ปุ่นพร้อมพิจารณาใช้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ของอาเซียนด้วย โดยญี่ปุ่นยังได้เสนอเพิ่มพูนความร่วมมือธุรกิจสตาร์ทอัพของทั้ง 2 ประเทศด้วย ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีไทยได้ขอให้ญี่ปุ่นพิจารณาขยายการจัดตั้งสถาบันโคเซ็นในไทยเพิ่มเติม ซึ่งถือเป็นการลงทุนด้านทรัพยากรมนุษย์ในระยะยาว เชื่อมั่นว่าทรัพยากรมนุษย์เหล่านี้จะเป็นกำลังสำคัญในภาคอุตสาหกรรมที่สร้างประโยชน์ให้กับไทยและญี่ปุ่นต่อไปในด้านพลังงาน ทั้ง 2 ประเทศพร้อมร่วมมือพัฒนาเทคโนโลยีด้านพลังงานที่ทันสมัยและการส่งเสริมการลงทุนในธุรกิจพลังงานคาร์บอนต่ำร่วมกัน ผ่านข้อเสนอความร่วมมือด้านพลังงาน (White Paper) ระหว่างไทยกับญี่ปุ่น และภายใต้ข้อริเริ่ม Asia Zero-Emission Community (AZEC) ของญี่ปุ่น ซึ่งสอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG ของไทย 

พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรียังยินดีกับการเป็นเจ้าภาพ World Expo 2025 Osaka ของญี่ปุ่น ไทยพร้อมสนับสนุนการจัดงานอย่างเต็มที่ เชื่อมั่นว่างานจะประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง และไทยหวังจะได้รับการสนับสนุนจากญี่ปุ่นในการเป็นเจ้าภาพจัดงานเอ็กซ์โปวาระพิเศษ (Specialised Expo) 2028 ที่จังหวัดภูเก็ตเช่นกัน เชื่อว่าจะเป็นเวทีให้นานาประเทศนำเสนอทางออกและแลกเปลี่ยนความร่วมมือสู่ความยั่งยืน 

สำหรับความร่วมมือด้านความมั่นคง ไทยและญี่ปุ่นมีความร่วมมือด้านการทหารและการป้องกันประเทศที่ใกล้ชิด เพื่อตอบสนองต่อความท้าทายด้านความมั่นคงรูปแบบต่างๆ ทั้ง 2 ฝ่ายยังได้ลงนามความตกลงว่าด้วยการมอบโอนยุทโธปกรณ์และเทคโนโลยีป้องกันประเทศ เมื่อครั้งที่นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเยือนไทย ขณะนี้กระทรวงกลาโหมอยู่ระหว่างการพิจารณาสาขาความร่วมมือที่ประสงค์ร่วมมือกับฝ่ายญี่ปุ่นต่อไป

ทางด้านประเด็นภูมิภาคและระหว่างประเทศ ยินดีที่ไทยร่วมมือกับญี่ปุ่นในฐานะหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนา เพื่อช่วยเหลือประเทศที่สามอย่างต่อเนื่อง ไทยพร้อมสานต่อความร่วมมือกับญี่ปุ่นในสาขาที่ทั้ง 2 ฝ่ายมีความเชี่ยวชาญและเป็นที่ต้องการของประเทศผู้รับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมบทบาทที่แข็งขันในการเป็นหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง และไทยในฐานะประเทศผู้ประสานงานความสัมพันธ์อาเซียน-ญี่ปุ่น พร้อมมีบทบาทอย่างแข็งขันเพื่อให้ความร่วมมือและกิจกรรมต่างๆ บรรลุผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม

อย่างไรก็ตาม ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีไทยและญี่ปุ่นร่วมกันยินดีที่ทั้ง 2 ประเทศมีการหารือจนมีผลเป็นรูปธรรมในหลายๆ ด้าน สามารถพัฒนาและยกระดับความสัมพันธ์สู่การเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน ฉลองครบรอบ 135 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต และการครบรอบ 10 ปีของความสัมพันธ์หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ ที่ถือเป็นอีกก้าวสำคัญทางความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ.