"ทิพานัน" รองโฆษกรัฐบาล ย้ำ ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเดิม ยังได้รับสิทธิ วงเงินซื้อสินค้าโครงการเพิ่มกำลังซื้อ วงเงินซื้อก๊าซหุงต้ม-มาตรการช่วยค่าไฟ-ค่าน้ำ ยัน นายกฯ ห่วงใย และช่วยประชาชนครอบคลุมทุกกลุ่ม 

วันที่ 1 ต.ค. น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลโดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เปิดให้ลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2565 ล่าสุด ยอดผู้ลงทะเบียน ณ วันที่30 กันยายนมีจำนวน 19,381,909 รายนั้น ขอเน้นย้ำกับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเดิม ยังคงสามารถใช้สิทธิ์ได้อยู่ แม้บางมาตรการจะสิ้นสุดลงตั้งแต่เดือนกันยายน 2565 แต่รัฐบาลยังคงเดินหน้ามาตรการช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเปราะบางเพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐต่อไป

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า สำหรับมาตรการที่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเดิม ยังได้รับสิทธิในเดือนตุลาคม ได้แก่ วงเงินซื้อสินค้าอุปโภค-บริโภค คนละ 200-300 บาทต่อเดือน โครงการเพิ่มกำลังซื้อ คนละ 200 บาทต่อเดือน วงเงินซื้อก๊าซหุงต้มสำหรับผู้ถือบัตรคนจนทั่วไป 100 บาท ต่อเดือนเป็นเวลา 3 เดือน วงเงินซื้อก๊าซหุงต้มสำหรับร้านค้า หาบเร่ แผงลอย 100 บาทต่อเดือนเป็นเวลา 3 เดือน

และมาตรการช่วยเหลือค่าไฟฟ้าและค่าน้ำประปาแก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ กรณีใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 50 หน่วยต่อเดือน ติดต่อกัน 3 เดือน ให้ใช้สิทธิค่าไฟฟ้าฟรี ส่วน กรณีใช้ไฟฟ้าเกิน 50 หน่วยต่อเดือน ให้ใช้สิทธิตามมาตรการนี้ในวงเงิน 315 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน เว้นแต่กรณีที่ใช้ไฟฟ้าเกิน 50 หน่วยต่อเดือน ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจะต้องเป็นผู้จ่ายค่าไฟฟ้าเองทั้งหมด

ค่าน้ำประปา ไม่เกิน 100 บาทต่อเดือนต่อครัวเรือน กรณีใช้น้ำประปา เกิน 100 บาท แต่ไม่เกิน 315 บาท จะได้รับการสนับสนุนในวงเงิน 100 บาท โดยส่วนเกินต้องชำระเอง เว้นแต่กรณีใช้น้ำประปา เกิน 315 บาท ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจะต้องเป็นผู้จ่ายค่าน้ำประปาเองทั้งหมด ทั้งนี้ รัฐบาลโดยมติคณะรัฐมนตรีได้ขยายระยะเวลาไปถึง 7 เดือน คือ ตั้งแต่ตุลาคม 2565-เมษายน 2566

...

"พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ห่วงใยและทุ่มเทให้การช่วยเหลือพี่น้องประชาชนให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ควบคู่ไปกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การลงทุนก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานให้มีความสมบูรณ์ ในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว เพื่อให้ประเทศไทยเจริญก้าวหน้า ส่วนจะมีมาตรการใดๆ ออกมาเพิ่มเติม หรือไม่ขอให้ติดตามข่าวสารจากทางภาครัฐเท่านั้น" น.ส.ทิพานัน กล่าว