"นิติพล" ส.ส.ก้าวไกล  ซัด "วราวุธ" รมว.ทส. ใช้ "คาร์บอนเครดิต" ฟอกเขียว ลดสิทธิประชาชน "คนกับป่า" ให้เหลือแค่ "ขี้ข้า-นายทุน" แนะควรให้ความสำคัญการเพิ่มผืนป่า หรือพื้นที่สีเขียว

เมื่อวันที่ 22 ก.ย. 65 นายนิติพล ผิวเหมาะ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า วันนี้เป็นเหมือนการตอกหมุดการทำลายสิทธิดั้งเดิมและสิทธิชุมชนในการอยู่ร่วมกับป่า เพื่อเอาไปประเคนผลประโยชน์ให้กับนายทุนผ่านโครงการซื้อขายคาร์บอนเครดิต โดย นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ได้ประชาสัมพันธ์ผลงาน “ยุทธศาสตร์ การผลักดันสังคมคาร์บอนต่ำ” เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหาความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศโลกว่า กำลังผลักดันการเพิ่มแหล่งกักเก็บและดูดกลับก๊าซเรือนกระจกในพื้นที่ป่าจำนวน 6 แสนไร่ โดยมีเอกชนสนใจรับซื้อ สอดคล้องกับแผนการเปิดแพลตฟอร์มซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิต ซึ่งในวันที่ 21 ก.ย. 65 จะเปิดเป็นครั้งแรกของประเทศไทย โดยเงื่อนไขการแบ่งปันคือ ผู้ปลูก หรือภาคเอกชนจะได้คาร์บอนเครดิต 90% และรัฐบาลจะได้คาร์บอนเครดิต 10% ส่วนประชาชนในพื้นที่จะได้ประโยชน์จากการจ้างงานของภาคเอกชนเพื่อดูแลพื้นที่ป่า

"ผมเห็นด้วยกับการทำให้เกิดการซื้อขายคาร์บอนเครดิตทั้งในไทยและต่างประเทศ แต่วิธีการที่นายวราวุธกำลังผลักดันคือการติดกระดุมผิดเม็ด นอกจากไม่ได้แก้ปัญหาให้ประชาชนแล้วยังจะนำไปสู่การช่วงชิงทรัพยากรเพื่อใช้สร้างภาพรักษ์ป่า รักโลก ฟอกเขียวให้นายทุน โดยเอาประชาชนที่ควรจะเป็นเจ้าของทรัพยากร และได้สิทธิในการบริหารจัดการป่าและได้ประโยชน์จากการซื้อขายนี้ ต้องกลายเป็นขี้ข้ารับประโยชน์จากค่าแรงเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น" นายนิติพล กล่าว

นายนิติพล กล่าวต่อว่า โครงการสวยหรูนี้แลกมากับคราบน้ำตาและความทุกข์ยากของประชาชนที่ทำกันเป็นขบวนการกันมาหลายปีแล้วจาก นโยบายทวงคืนผืนป่าตามคำสั่ง คสช. ที่ 64/2557 ที่ทำให้ชาวบ้านถูกฟ้องคดีถึง 46,600 คดี เป็นกระบวนการไล่คนออกจากป่าอย่างเนียนๆ ด้วยการให้มีคดีทางกฎหมายติดตัวและมีที่ติดคุกจริง ทั้งที่กฎหมายหลายฉบับออกมาทีหลังแล้วทับไปบนที่ของประชาชน แต่ในทางกลับกันหากเป็นที่ของนายทุนกลับทำเป็นมองไม่เห็นแทบไม่มีการดำเนินการใดๆเพื่อทวงคืนเหมือนที่ทำกับประชาชน

...

"กระดุมเม็ดแรกที่กระทรวงทรัพยากรฯ ควรเป็นแม่งานใหญ่ในการทำ ไม่ใช่การทำตัวเป็นนายหน้าซื้อขายคาร์บอนเครดิต โดยดีลกับเจ้าสัวนายทุนไว้หมดแล้ว แต่คือการพิสูจน์สิทธิในที่ดินทำกินของประชาชนและสิทธิชุมชนด้วยการทำแผนที่ One Map ให้เสร็จสิ้น เพื่อไม่ให้หน่วยงานรัฐอ้างกฎหมายคนละทีสองทีไปเล่นงานประชาชนและเพื่อพิสูจน์สิทธิกันให้ชัดว่าที่ดินตรงไหนเคยมีประชาชน ชุมชน หรือชนเผ่าพื้นเมืองอยู่มาก่อนหรือไม่ เพื่อคืนสิทธิเหล่านั้นให้เขาไป แต่เรื่องนี้นายวราวุธกลับไม่ทำ"

นายนิติพล กล่าวทิ้งท้ายว่า การเพิ่มผืนป่าหรือพื้นที่สีเขียวในนิยามใหม่ของสหประชาชาติ หรือแม้แต่พื้นที่มรดกโลกล้วนให้ความสำคัญกับวิถีดั้งเดิม ยอมรับว่าคนอยู่กับป่าได้ และพวกเขามีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้พิทักษ์ป่าดีกว่ากว่าเจ้าหน้าที่รัฐ ต้องคืนสิทธิเหล่านี้และเครื่องมือที่โลกกำลังใช้เป็นแรงจูงใจในการเพิ่มผืนป่าให้พวกเขา ไม่ใช่ยึดเอาไปทำผลงานบนแผนที่อย่างไม่จีรังยั่งยืน พอหมดงบ หมดฤดูเสนอผลงานก็ปล่อยให้เสื่อมโทรม ถามว่าทุกวันนี้โครงการปลูกป่าทั้งหลายที่บอกว่าปลูกกันเป็นล้านๆ ต้น หลายสิบปีมานี้มีที่ไหนเหลือบ้าง เหลือกี่ต้น กลายเป็นสวนยางไปหมดแล้วกี่ต้น ทำกันบังหน้า แต่ความทุกข์ยากและความขัดแย้งทิ้งไว้ให้ประชาชน การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติแบบนี้ นอกจากประชาชนไม่ได้ประโยชน์ใดๆ ยังเป็นการกดหัวประชาชนไว้ใต้อุ้งเท้าของนายทุนอีกด้วย.