นับเป็นชัยชนะครั้งสำคัญอีกครั้ง ของการจับมือกันเล่นเกมการเมืองด้วยการทำให้สภาล่ม อาจทำให้สูตร ส.ส.บัญชีรายชื่อ เปลี่ยนจากสูตร 500 หาร กลับไปเป็น 100 หารอีกครั้ง หากฝ่ายที่สนับสนุนสูตร 500 กลับตัวไม่ทัน ไม่สามารถทำให้มีการประชุมรัฐสภา เพื่อกลับคืนสู่สูตรเดิมได้ทัน 180 วัน ภายในวันที่ 15 สิงหาคม
ชัยชนะของการเล่นเกมการเมืองแบบง่ายๆ แค่ไม่ยอมเข้าร่วมประชุมสภา หรือเดินออกจากที่ประชุม ทำให้ไม่ครบองค์ประชุม ไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ เชื่อว่าเป็นการจับมือกัน ระหว่างพรรคเพื่อไทย กับพรรคพลังประชารัฐ และ ส.ว. บางส่วน ผู้แพ้กลายเป็นผู้มีอำนาจที่ถูกกล่าวหาออกใบสั่งหนุนสูตร 500
อาจส่งผลกระทบต่อผลการเลือกตั้งคราวหน้า กระทบต่อการสืบทอดอำนาจ ของกลุ่ม 3 ป. การเลือกตั้ง ส.ส. อาจกลับคืนสู่ระบบที่ใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ใบที่หนึ่งเลือก ส.ส.เขต ใบที่สองเลือก ส.ส.บัญชีรายชื่อ เหมือนกับรัฐธรรมนูญ 2540 และ 2550 ที่คนไทยคุ้นชิน มีไม่ถึง 10 พรรค ที่จะได้ ส.ส.เข้าสภา
ไม่ใช่การเลือกตั้งที่เละตุ้มเป๊ะเหมือนกับเมื่อปี 2562 มีพรรคลงแข่งขันเกือบ 80 พรรค ได้ ส.ส.เข้าสภาถึง 26 พรรค ได้ ส.ส.คนเดียวถึง 12 พรรค ต้อง ตั้งรัฐบาลผสมเกือบ 20 พรรค แต่เป็นรัฐบาลที่อ่อนแอ ไม่มีเสียงข้างมากที่แน่นอน พรรคแกนนำรัฐบาลไม่ทำตามนโยบายพรรค เพราะต้องเอาใจพรรคจิ๋ว
แต่ยังมีความพยายามที่จะกลับคืนสู่ระบบรัฐบาลผสมร้อยพ่อพันแม่ รัฐบาลไม่ต้องมีนโยบายในการแก้ปัญหาของประเทศ เช่น ปัญหาข้าวยากหมากแพง ผู้คนตกงาน ปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำ แม้กระทั่งเรื่องการศึกษา รัฐบาลไม่ต้องคิดอะไรมาก แค่ลดแลกแจกแถมเป็นครั้งคราว และปลูกกล้วยไว้เลี้ยงลิงในสภา
รัฐบาลผสมเกือบ 20 พรรค ที่ตั้งขึ้นหลังเลือกตั้ง 2562 ไม่มีทางที่จะเป็น รัฐบาลที่เข้มแข็ง และแก้ปัญหาสำคัญของประเทศได้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการเมือง ปัญหาปากท้องประชาชน และปัญหาสังคม เพราะเริ่มต้นก็ผิดสูตรระบบรัฐสภา นายกรัฐมนตรีไม่ใช่หัวหน้าพรรคเสียงข้างมาก ซ้ำยังไม่ใช่สมาชิกพรรคใด
...
กลายเป็น “นายกฯขาลอย” ลูก ส.ส.ในพรรคบางกลุ่ม จับมือกับกลุ่มพรรคจิ๋ว สร้างอำนาจต่อรอง เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง และประโยชน์อื่นๆ ถ้าไม่ได้ดังใจ รัฐบาลอาจถูกขู่ จะมีการคว่ำร่างกฎหมายสำคัญ จะลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรี นำมาซึ่งความเสื่อมของระบบรัฐสภา.