“สนธิรัตน์” แนะจับตาราคาพลังงาน ปัจจัยหลักเร่งอัตราเงินเฟ้อ ห่วงโควิด-ฝีดาษลิง หากคุมไม่ดีอาจกลายเป็นวิกฤติซ้อนวิกฤติ ลั่น ตั้งรับแล้วเดินตามปัญหาเพื่อแก้ตามสถานการณ์อย่างเดียววันนี้ไม่พอ

วันที่ 31 ก.ค. 2565 นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคสร้างอนาคตไทย และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โพสต์ข้อความผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ก ว่า ช่วงหยุดยาว 4 วันนี้ (28-31 ก.ค. 2565) ถือเป็นอีกสัปดาห์หนึ่งตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในการเพิ่มวันหยุดเป็นกรณีพิเศษ (29 ก.ค. 2565) หรือที่เรียกว่าวันหยุดยาวต่อเนื่อง เพื่อหวังกระตุ้นการเดินทางอันและการจับจ่ายใช้สอยของพี่น้องประชาชนในช่วงวันหยุดยาว และระบุด้วยว่ามี 3 เรื่องมาฝาก ดังนี้

1. การท่องเที่ยวกับความหวังการพลิกฟื้นทางเศรษฐกิจ

ภาคการท่องเที่ยวถือเป็นหนึ่งใน 4 เครื่องยนต์หลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และคาดว่าจะมีหวังในปีนี้ หลังยกเลิกการลงทะเบียน Thailand Pass เมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2565 ที่ผ่านมา ถือเป็นการผ่อนคลายและเปิดโอกาสให้ธุรกิจการท่องเที่ยวกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง จากข้อมูลจากกองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา ตั้งแต่ ม.ค. - มิ.ย. 2565 พบว่ามีนักท่องเที่ยวเข้าประเทศแล้ว 2.07 ล้านคน (ปีที่แล้ว 40,447 คน) มาจากเอเชียตะวันออกมากที่สุด ราว 804,538 คน และหนึ่งในนั้นเป็นประเทศอาเซียนไปแล้ว 612,852 คน

พร้อมมองว่า เครื่องยนต์การท่องเที่ยวเริ่มทำงานแล้ว หวังว่าจะสามารถผลักจีดีพีปีนี้ให้ขยายตัวขึ้นได้ จากการเพิ่มการจ้างงานและการบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวขึ้น แต่สถานการณ์ในปลายปีนี้ก็ยังคงน่าเป็นห่วงไม่น้อย ทั้งสถานการณ์โควิด-19 ที่ยังนิ่งนอนใจไม่ได้ และโรคติดต่อเฝ้าระวังอย่างฝีดาษลิง หรือ ฝีดาษวานร (Monkeypox) หากควบคุมไม่ดีอาจกลายเป็นวิกฤติซ้อนวิกฤติขึ้นอีกได้

...

2. คนละครึ่งกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ

ประเทศไทยมีการฟื้นตัวของภาคเศรษฐกิจที่ไม่เท่าเทียมกันหลังจากโควิด-19 (K shaped) บ้างก็ยังจุดไม่ติด บ้างก็ค่อยๆ ฟื้น ล่าสุดมีการกระตุ้นจากภาครัฐหวังมีการบริโภคจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง เช่น โครงการคนละครึ่ง และการเพิ่มเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งนวัตกรรมดังกล่าวในปัจจุบันน่าจะต้องทบทวนเพราะสถานการณ์เปลี่ยนไปมาก ในอนาคตที่เรากำลังเดินหน้าเข้าสู่สภาวะถดถอย การอุดหนุนช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางให้ตรงจุด ตรงเป้าหมาย รักษาคนตัวเล็กให้อยู่ได้บนเงินงบประมาณที่จำกัด น่าจะมีวิธีที่ดีกว่านี้ และต้องรักษาฐานรากให้อยู่ได้

ขณะที่สถานการณ์โลกตอนนี้ ทั้งความกังวลใจในสหรัฐอเมริกาและจีน 2 ยักษ์ใหญ่ของโลก ซึ่งถือเป็นประเทศคู่ค้าสำคัญของไทย โดยตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทยคือสหรัฐฯ มูลค่าการส่งออกตั้งแต่ ม.ค. - มิ.ย. 2565 คิดเป็น 7.9 แสนล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 31.58% รองลงมาคือจีน เศรษฐกิจในบ้านเขาจึงสะท้อนเศรษฐกิจไทยอยู่ไม่น้อย การปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด (FED) 0.75% และการชะลอตัวทางเศรษฐกิจในอนาคตจะทำให้บ้านเราชะลอตามไปด้วย เครื่องยนต์อย่างการส่งออกที่ตอนนี้กำลังเป็นขาขึ้น ในอนาคตอาจต้องเตรียมรับมือ

3. ราคาพลังงานกับเงินเฟ้อต้องจับตาต่อ

ส่วนราคาพลังงานสัปดาห์นี้ น้ำมันและแก๊สยังคงผันผวนตามสถานการณ์ การนำเข้า LNG ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากปริมาณความต้องการใช้ ล่าสุดกลุ่ม ปตท. โดย PTTGL เซ็นสัญญานำเข้า LNG จากบริษัท Cheniere Energy จำนวน 1 ล้านตันต่อปี (สัญญา 20 ปี) แสดงให้เห็นถึงการพึ่งพาแก๊สจากภายนอกที่จะเพิ่มขึ้นลำดับ ต่อด้วยการขึ้นค่าไฟฟ้าที่จะตามมา โดยในงวด ก.ย. - ธ.ค. 2565 สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) มีมติปรับเพิ่มค่าไฟฟ้าไม่น้อยกว่า 68.66 สตางค์ต่อหน่วย และจะส่งผลให้ค่าไฟเฉลี่ยรวมพุ่ง 4.72 บาทต่อหน่วย

ทั้งนี้ ราคาพลังงานถือเป็นปัจจัยหลักเร่งอัตราเงินเฟ้อในบ้านเราตลอดช่วงที่ผ่านมา การตั้งรับแล้วเดินตามปัญหาเพื่อแก้ตามสถานการณ์อย่างเดียววันนี้ไม่พอ การหวังพึ่งเครื่องยนต์อย่างการท่องเที่ยวและการส่งออกตามที่ได้กล่าวมาก็ยังมีอุปสรรคอีกเยอะรออยู่ข้างหน้า

อย่างไรก็ตาม ในช่วงท้าย นายสนธิรัตน์ ยังระบุด้วยว่า “วันนี้ต้องกลับมาที่การบริโภคภาคเอกชนที่ถือเป็นโจทย์สำคัญในการแก้ไขปัญหา หากค่าครองชีพเพิ่มสูงขึ้นเครื่องยนต์ส่วนนี้ก็จะทรุดลงเรื่อยๆ ต้องประคับประคองให้ดี ที่สำคัญวันที่ 5 ส.ค.นี้ สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) จะแถลงดัชนีเศรษฐกิจอีกรอบ รอดูกันว่าเงินเฟ้อบ้านเราจะเป็นอย่างไรต่อไป”.