นายกรัฐมนตรี แถลงผลงานรอบ 6 เดือนรัฐบาล มั่นใจพ้นจุด วิกฤติ เดินหน้าทำสวัสดิการชาติอย่างชัดเจนต่อไป เพื่อให้ประชาชนทุกคนมีหลักประกันในชีวิต ...วันนี้ (6 ส.ค.) เวลา 10.15 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้แถลงผลงานต่าง ๆ ของรัฐบาลในโอกาสบริหารงานมาครบ 6 เดือน (มกราคม-มิถุนายน 2552) โดยมีรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีทุกกระทรวง พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการต่าง ๆ ทั้งจากภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และสื่อมวลชน เข้าร่วมรับฟังการแถลงในครั้งนี้ "สวัสดี ครับพี่น้องประชาชนและสื่อมวลชนที่เคารพรักทุกท่าน วันนี้ผมขอใช้เวลาไม่มากนักในการพูดถึงการทำงานในช่วง 6 เดือนแรกหลังจากที่เข้ามารับหน้าที่และบริหารราชการแผ่นดิน และในช่วงท้ายจะเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนได้สอบถามซักถามเกี่ยวกับงานที่เราได้ ทำมา และที่กำลังจะเดินหน้าต่อไปผมอยากจะเริ่มต้นอย่างนี้ครับว่า อยากให้ทุกคนได้นึกย้อนกลับไปเมื่อปลายปีที่แล้วเดือนธันวาคม 2551 เป็นช่วงเวลาที่ผมเชื่อว่าทุกคนในสังคมมีความทุกข์ มีความทุกข์ มีความวิตกกังวล ทั้งในเรื่องของปัญหา วิกฤตเศรษฐกิจ ซึ่งได้ลุกลามมาจากต่างประเทศอย่างชัดเจนตั้งแต่ประมาณเดือนตุลาคมปีที่ แล้ว และตัวเลขทางเศรษฐกิจซึ่งเคยเติบโตมาโดยตลอด ก็เริ่มเห็นเป็นตัวเลขที่ติดลบมาตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้ว และที่สำคัญคือว่าวิกฤตทางการเมืองและความขัดแย้งของผู้คนในสังคมทวีความ รุนแรง และเป็นวิกฤตที่ต่อเนื่องยาวนานมาเป็นระยะเวลาหลายปี แต่ผมคิดว่าที่แย่ที่สุดในขณะนั้นคือว่านอกเหนือจากที่พี่น้องประชาชนมีความ ทุกข์กับวิกฤต 2 วิกฤตที่เกิดขึ้นแล้ว เรามองไม่เห็นทางออกในวันนั้น ไม่มีใครกล้าแม้ที่จะตั้งความหวังว่าเศรษฐกิจไทย การเมืองไทย ประเทศไทยจะเดินไปอย่างไร ผมและรัฐบาลเข้ามารับภาระหน้าที่ในสถานการณ์อย่างนั้น และผมรู้ตั้งแต่วันแรกว่าวิกฤตที่จะต้องคลี่คลายที่จะต้องแก้ไขไม่ง่าย ความรุนแรงทั้งวิกฤตเศรษฐกิจและการเมือง ต้องถือว่ารุนแรงมาก เมื่อเทียบกับวิกฤตครั้งอื่น ๆ ที่เราเคยประสบมาในประวัติศาสตร์ เพราะฉะนั้น สิ่งที่ผมได้ให้คำมั่นสัญญาตั้งแต่วันแรกก็คือ ผมและรัฐบาลจะทุ่มเททำงานอย่างหนัก และไม่มีอะไรดีไปกว่าการยึดมั่นผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นที่ ตั้งในการทำงาน และถ้าจะสรุปต้องบอกว่าเป้าหมายของรัฐบาลคือความสุขของพี่น้องประชาชนคนไทย ในการทำงานในการกำหนดนโยบายนั้น ผมได้ยึดถือเอานโยบายที่ได้แถลงต่อรัฐสภา ซึ่งกลั่นกรองมาจากนโยบายของพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลทุกพรรค และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์นั้นเคยมีเรื่องของแผน ปฏิบัติการเร่งด่วน 99 วันอยู่ด้วย ก็ได้ถือเอาตรงนั้นมาเป็นหลักในการกำหนดทิศทางนโยบาย พร้อม ๆ ไปกับการทำความเข้าใจกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ซึ่งอาจจะแตกต่างไปจากวันที่พรรคการเมืองทั้งหลายได้เคยกำหนดนโยบายไว้ใน ช่วงของการเลือกตั้ง 6 เดือนแรกหรือครึ่งปีแรกผ่านไป นโยบายเหล่านั้นถูกแปรสภาพมาเป็นกว่า 100 มาตรการ และผมมั่นใจว่าได้นำไปสู่อีกหลายล้านความสุขที่เกิดขึ้นในหมู่ประชาชนคนไทย ทั้งประเทศ ผมอยากจะชี้ให้เห็นว่าสถานการณ์ที่พวกเราเข้ามาทำงาน นั้น ผมเปรียบเทียบอยู่เสมอว่าเสมือนกับเข้ามาแก้ไขปัญหาอาคารที่กำลังถูกไฟไหม้ งานแรกที่เราต้องทำคือต้องช่วยเหลือคนที่อยู่ในอาคาร นั่นหมายถึงคนที่อ่อนแอที่สุด คนที่มีความเสี่ยงที่สุด ที่จะได้รับผลกระทบจากวิกฤตที่เกิดขึ้น งานที่ 2 คือ ดับไฟ นั่นคือต้องหามาตรการในการที่จะมาแก้ปัญหาให้ตรงจุดกับวิกฤตเศรษฐกิจและ การเมืองที่เกิดขึ้น และแน่นอนที่สุด งานที่ 3 ไม่ได้มีความสำคัญยิ่งหย่อนไปกว่า 2 งานแรกคือการสร้างความแข็งแกร่งออกแบบอาคารใหม่ ให้สามารถที่จะเป็นที่อยู่อาศัยที่ทุกคนมีความสุข มีความมั่นคง และมีความมั่นใจมากยิ่งขึ้นในการที่จะเผชิญกับเหตุการณ์ต่างๆ ในอนาคต ทุกนโยบายทุกมาตรการ ผมได้จัดลำดับและทำให้เกิดความสม่ำเสมอต่อเนื่อง ก็คือว่าทำข้อที่ 1 ก็เล็งเอาไว้เลยว่าข้อที่ 2 จะต้องเกิดขึ้นด้วย ทำข้อที่ 2 ก็จะต้องแก้ข้อที่ 3 ไปพร้อม ๆกันด้วย ไม่มีลักษณะของการทำงานที่จะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอย่างเดียว หรือหรือแก้ปัญหาว่าวันนี้เป็นอย่างไร ขอให้ปัญหาพ้นไป ไม่ใช่แนวทางที่รัฐบาลได้ทำงานในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ผมอยากจะ เริ่มต้นด้วยการสรุปงานสำคัญที่รัฐบาลได้ดำเนินการจนประสบความสำเร็จแล้วใน 6 เดือนแรก หลายเรื่องผมถือเป็นคำมั่นสัญญา จะเป็นจากการหาเสียง จะเป็นจากการกำหนดนโยบายของพรรค ของรัฐบาล หรือการแสดงวิสัยทัศน์ในที่ต่าง ๆ ผมอยากจะยืนยันว่าคำมั่นสัญญาหลายอย่าง ซึ่งพี่น้องประชาชนคนไทยได้ยินซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพิ่งมาเป็นจริง และเราได้ทำแล้วในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ผมเริ่มต้นจากการช่วยเหลือคน กลุ่มคนกลุ่มแรกที่เราได้ช่วยเหลือชัดเจนที่สุดคือเด็ก เยาวชน และผู้ปกครอง เป็นการบรรเทาภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจในเรื่องของค่าใช้จ่าย พร้อมๆ ไปกับการวางรากฐานที่สำคัญที่สุดที่ผมยืนยันมาตลอดก็คือเรื่องของการลงทุนใน ด้านการศึกษา ต้องขอขอบคุณว่านโยบายเรียนฟรี 15 ปี ที่เด็กของเราได้รับประโยชน์ 12 ล้านคน คือนโยบายที่สามารถผลักดันออกมาได้เป็นรูปธรรม โดยมีการส่งเงินที่เป็นค่าใช้จ่ายในเรื่องของเครื่องแบบ ในเรื่องของอุปกรณ์การเรียน และสนับสนุนเรื่องของตำราเรียนให้กับผู้ปกครองทั้งหมด พร้อมๆ กับการลดรายการที่มีการเรียกเก็บ โดยไม่ให้เก็บในรายการที่เป็นเรื่องของการศึกษาขั้นพื้นฐานที่ถือเป็นบริการ พื้นฐานที่เป็นสิทธิที่ลูกหลานเราจะต้องได้รับ งานนี้เป็นงานซึ่งควรจะทำมาตั้งนานแล้ว กฎหมายบังคับมาให้ทำตั้งแต่ปี 2545 แต่ก็ไม่ได้มีการดำเนินการอย่างจริงจัง ผมต้องขอบคุณทางกระทรวงศึกษาธิการ ที่การกำหนดนโยบายอาจจะคิดง่ายครับ ประโยคสั้น ๆ เรียนฟรี แต่ในแง่ของการปฏิบัติผมรู้ว่ามีเรื่องที่เป็นรายละเอียดยุ่งยากมากมาย แต่ก็ได้ทำสำเร็จภายในการเริ่มต้นของปีการศึกษาคือเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมากลุ่ม คนกลุ่มที่ 2 คือ ผู้สูงอายุ เช่นเดียวกันในขณะที่เราบอกว่าผู้สูงอายุของเราควรจะได้รับการตอบแทนจาก สังคมนี้ แต่นโยบายเพียงแค่จะมีเบี้ยยังชีพไม่ได้มากมายอะไรเลยครับ 500 บาทต่อเดือน เราก็ยังมีผู้สูงอายุหลายล้านคน ซึ่งไม่เคยได้รับโอกาสตรงนี้ ภายใน 6 เดือนเช่นเดียวกันครับ เราได้จัดระบบให้มีการขึ้นทะเบียนสำหรับผู้สูงอายุ อายุเกิน 60 ปีทุกคน ยกเว้นผู้ที่มีบำนาญอยู่แล้ว ที่สุดก็มีคนที่มาใช้สิทธิ 3,500,000 คน เพิ่มเติมจากที่รับอยู่ในปัจจุบัน เงินเบี้ยยังชีพสำหรับผู้สูงอายุบัดนี้ก็จ่ายเป็นรายเดือน และจะมีการเดินหน้าตลอดไป รวมทั้งจะมีการขึ้นทะเบียนรอบใหม่ในเดือนกันยายนสำหรับคนที่มีอายุถึง 60 หลังจากเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ถัดมาเราต้องดูแล พี่น้องประชาชนที่ยากจนที่สุด คือ กลุ่มเกษตรกร จริงอยู่นโยบายการช่วยเหลือเกษตรกรนั้น เราไม่สามารถที่จะเริ่มต้นใหม่ได้ เพราะว่าคาบเกี่ยวกับฤดูกาลการเพาะปลูก แต่เราเจอกับปัญหาที่ว่าโครงการการแทรกแซงราคาพืชผลนั้น โควตาที่กำหนดไว้ไม่พอเพียง และมีปัญหาอีกหลายปัญหา แต่ได้มีการดำเนินการแก้ไขทั้งในส่วนที่เป็นพืชหลัก ข้าว มันสำปะหลัง ข้าวโพด ปาล์ม ยาง ไปจนถึงเรื่องของผลไม้ที่ออกมาตามฤดูกาลต่าง ๆ จนในที่สุดเกษตรกรกว่า 1,500,000 ครัวเรือนหรือครอบครัวได้ประโยชน์จากตรงนี้ ถัดจากเกษตรกร เราต้องไปช่วยคนว่างงาน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายวิตกกังวลและเป็นห่วงที่สุดที่จะเป็นผลกระทบจากวิกฤต เศรษฐกิจ โครงการที่รัฐบาลได้ดำเนินการคือ ต้นกล้าอาชีพ ซึ่งจนถึงขณะนี้ปรากฏว่ามีผู้ผ่านการอบรมแล้วกว่า 200,000 คนทั่วประเทศ และได้สร้างงานกว่า 140,000 คน รวมทั้งอีก 20,000 คนที่เป็นโครงการที่เป็นการชะลอการเลิกจ้าง อันนี้คือในส่วนของต้นกล้าอาชีพ และถ้ารวมกับที่กระทรวงแรงงานได้ดำเนินการนโยบาย 3 ลด 3 เพิ่ม ก็มีการสร้างงานอยู่หลายแสนอัตรา รวมไปถึงการชะลอการจ้างงานในส่วนของโครงการของกระทรวงแรงงานอีกจำนวนหนึ่ง เช่นเดียวกัน และสำหรับพี่น้องประชาชน ทั่วไป ก็ได้มีการดำเนินการมาตรการลดภาระค่าครองชีพช่วยเหลือประชาชน 5 มาตรการด้วยกัน เรื่องของก๊าซหุงต้ม ซึ่งมีการตรึงราคาไว้ เพราะเรารู้ว่าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเกือบทุกครัวเรือน ก็ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เรื่องของการลดและให้ใช้น้ำ ไฟ ฟรี สำหรับคนที่ใช้สิ่งเหล่านี้เป็นจำนวนน้อย ได้ช่วยเหลือในการลดภาระพี่น้องประชาชนไปประมาณ 8 ล้านครัวเรือน กว่า 8 ล้านสำหรับไฟ และต่ำกว่า 8 ล้านสำหรับน้ำ แต่ก็ถือว่าครอบคลุมคนจำนวนมากในบ้านเมืองของเรา ขณะเดียวกันในส่วนของรถเมล์ รถไฟ กระทรวงคมนาคมก็เดินหน้าในการสานต่อในเรื่องของโครงการที่ให้บริการฟรี สำหรับผู้มีรายได้น้อย ก็มีการประมาณการกันว่า มีผู้ได้มาใช้ประโยชน์จากตรงนี้ รถเมล์อาจจะเดือนละ 13 ล้านเที่ยว รถไฟอาจจะ 3 ล้านเที่ยวต่อเดือน ก็เป็นการลดภาระค่าครองชีพของพี่น้องประชาชน ส่วนคนที่มีรายได้อยู่ แต่เป็นรายได้น้อยนั้น เราได้มีการแบ่งเบาภาระโดยการเพิ่มรายได้ในโครงการ เช็คช่วยชาติ 2,000 บาท และมีคนได้รับเช็คตรงนี้ไปแล้วอีก 9 ล้านคน และเสริมด้วยโครงการที่เข้าไปดูแลเศรษฐกิจของชุมชน ก็คือในส่วนของชุมชนพอเพียง ซึ่งขณะนี้มีโครงการลงไปประมาณ 30,000 โครงการแล้ว นี่คือกลุ่ม คนต่าง ๆ ที่เราช่วยเหลือ แต่ในส่วนของภาคธุรกิจเอกชนในภาพรวม ผมจะไม่ขอใช้เวลามาเล่าถึงมาตรการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาคการท่องเที่ยว จะเป็นภาคการค้า การลงทุน ซึ่งกระทรวงทางเศรษฐกิจทั้งหลายได้ร่วมกันทำงานอย่างเป็นทีม และมีการติดตามสถานการณ์ใกล้ชิดอยู่ทุกสัปดาห์ใน ครม.เศรษฐกิจ แต่ว่าผมยกเพียงตัวอย่างเดียวว่าในส่วนของวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม ซึ่งมีปัญหาในเรื่องสืนเชื่อ เราก็ต้องใช้หลายมาตรการ และสามารถทำให้มีการปล่อยสินเชื่อรวมไปได้ในช่วงแรก 22,800 กว่าล้านบาท และในปัจจุบันหลังจากเดือนมิถุนายนเป็นต้นมา ปริมาณสินเชื่อที่ปล่อยในโครงการต่าง ๆ เหล่านี้มีการเร่งในอัตราที่สูงขึ้นทุกเดือน ๆ นอกจากโครงการเหล่านี้ กลุ่มคนเหล่านี้แล้ว ยังมีนโยบายบางเรื่องซึ่งเราเคยพูดเราเคยสัญญากันมา และวันนี้เราก็ได้ทำจริงแล้ว ก็คือกรณีของ อสม. ทั่วประเทศเกือบ 1 ล้านคนที่ได้ค่าตอบแทนคนละ 600 บาทต่อเดือน ดังนั้น จะเห็นว่ามาตรการในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในช่วงที่ยากลำบากนั้น เราได้ทำเพื่อคนไทยทุกภาคทุกคน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากวิกฤตเศรษฐกิจที่รุนแรงที่สุดในรอบ 60-80 ปี และอีกสักครู่ผมจะชี้ให้เห็นว่าแม้ว่ามาตรการเหล่านี้ยังไม่สามารถ ทำให้เศรษฐกิจกลับมาขยายตัวเป็นบวกได้ ซึ่งเราก็คาดการณ์ตั้งแต่แรกว่าจะกลับมาขยายตัวเป็นบวกจะต้องเป็นในช่วงปลาย ปี แต่ได้ส่งผลอย่างไรต่อภาพรวมของระบบเศรษฐกิจ ตรงนี้อย่างที่ผมบอกครับคือการช่วยเหลือคนพร้อม ๆ ไปกับการบรรเทาและมีส่วนในการแก้ปัญหาส่วนหนึ่ง เพราะว่ามาตรการเหล่านี้ก็เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่เราไม่ได้หยุดเท่านั้น เราเดินหน้าต่อทันทีว่าเราจะต้องแก้และกระตุ้นเศรษฐกิจพร้อมๆ ไปกับเพิ่มความเข้มแข็งให้กับประเทศไทยของเรา ลงทุนเพื่อคนไทยทั้งประเทศ และในช่วงระยะเวลา 6 เดือนเช่นเดียวกัน เราก็ได้จัดทำแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง แล้วก็ได้มีการจัดแผนในเรื่องของการระดมทุนเข้ามา ซึ่งก็คือเงินที่เป็นเงินฝากของพี่น้องประชาชนที่อยู่ในระบบธนาคารส่วนหนึ่ง และขณะนี้ก็ได้มาซื้อพันธบัตรออมทรัพย์ไทยเข้มแข็งไปแล้ว ที่เหลือจะเป็นการกู้เงินจากภายในประเทศ เพราะว่าเงินในระบบธนาคาร สภาพคล่องของเรายังมีมาก ไม่ได้เป็นเรื่องของการไปก่อหนี้โดยการไปกู้เงินจากต่างประเทศแต่อย่างใด ในปฏิบัติการไทยเข้มแข็งนั้น สิ่งที่เรากำลังทำคือเรากำลังวางรากฐานสำหรับประเทศไทย หลังจากที่เราต้องยอมรับครับว่าหลายปีที่ผ่านมานั้น โครงสร้างพื้นฐานของประเทศนั้นเสื่อมโทรมลงไปมาก ส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถในทางการแข่งขันทางเศรษฐกิจ ไทยเข้มแข็งก็ครอบคลุม 7 ด้านนะครับ ด้านแรกก็คือในส่วนของการดูแลภาคการเกษตรของเรา ที่จะมีการสร้างและปรับปรุงแหล่งน้ำทั่วประเทศ เกือบ 1,500 แห่งครับ และจะมีประมาณ 1,000,000 ครัวเรือนที่ได้ประโยชน์จากระบบชลประทานและการกระจายน้ำที่จะเกิดขึ้นจากการ ลงทุนครั้งใหญ่ครั้งนี้ด้านที่ 2 คือเรื่องของการขนส่ง คมนาคม โลจิสติกส์ ซึ่งอันนี้ก็มีตั้งแต่ระบบราง ที่จะมีการดำเนินการลงทุนครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งในส่วนของรถไฟ ซึ่งกระทรวงคมนาคมก็เดินหน้าเต็มที่ ทั้งในภูมิภาค และในกรุงเทพมหานคร ในภูมิภาคนั้นก็จะเป็นการปรับปรุงรางเดิม วางระบบรางคู่ มีเป้าหมายในการเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านและเชื่อมโยงกับประเทศจีนที่จะ เกิดขึ้นต่อไป เป็นการอำนวยความสะดวกให้คนไปมาหาสู่ และเป็นการเปิดเส้นทางเพื่อเอาสินค้าออกมาจากพี่น้องประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ ที่เคยอยู่ห่างไกล สามารถเข้าถึงตลาดได้มากขึ้น ส่วนระบบถนนนั้นก็จะมีถนนไร้ฝุ่น ถนนปลอดภัย ทุกชุมชนนะครับในส่วนของกรม ในส่วนของกระทรวงคมนาคมนั้นก็จะดำเนินการให้เสร็จภายใต้ปฏิบัติการไทยเข้ม แข็ง นี่คือด้านที่ 2ด้านที่ 3 เดินหน้าในส่วนของการศึกษา ว่านอกจากเรื่องเรียนฟรีที่ได้ทำไปแล้ว เราก็กำลังจะยกระดับคุณภาพของโรงเรียนอีกกว่า 8,000 แห่ง มีการปรับปรุงห้องสมุดกว่า 1,700 แห่ง แล้วก็จะไปเป็นส่วนหนึ่งของแนวทางของการปฏิรูปการศึกษา ซึ่งมีรายละเอียดอีกมากที่เราจะทำ ไม่ว่าจะเป็นห้องเรียนวิทยาศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นการยกเครื่องระบบการสอบคัดเลือกหรืออะไรต่าง ๆ ซึ่งจะทำให้คุณภาพการศึกษาเราดีขึ้นด้านที่ 4 เป็นเรื่องของการสาธารณสุข ซึ่งจะมีการยกระดับสถานีอนามัย มาเป็นโรงพยาบาลสร้างเสริมสุขภาพระดับตำบลทั่วประเทศ ที่จริงเริ่มต้นก่อนไทยเข้มแข็งไป 1,000 แห่งครับ จะเสร็จในปีนี้ แล้วก็จะดำเนินการที่เหล