“ปกรณ์วุฒิ” อภิปรายไม่ไว้วางใจ “ศักดิ์สยาม” ชี้ข้อกล่าวหา ส่อฮั้วประมูล ขายหุ้นไม่จริง เอาธุรกิจตัวเองมารับงาน ก.คมนาคม ตั้งข้อสังเกตยื่นทรัพย์สินอันเป็นเท็จต่อ ป.ป.ช.

เมื่อเวลาประมาณ 16.45 น. วันที่ 19 ก.ค. 2565 นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายไม่ไว้วางใจ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โดยข้อกล่าวหาคือ นายศักดิ์สยาม ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ มีพฤติกรรมใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ให้กับตัวเองและพวกพ้อง ฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง จงใจปฏิบัติหน้าที่และใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย เพื่อให้ตนเองมีส่วนได้รับผลประโยชน์จากโครงการต่างๆ ของรัฐ

จากนั้นกล่าวถึงกิจการหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับ นายศักดิ์สยาม ซึ่งมีการออกจากการเป็นหุ้นส่วนในช่วงที่มีการดำรงตำแหน่งทางการเมือง และกลับมาถือหุ้นอีกครั้งหลังมีการรัฐประหาร ก่อนจะตั้งคำถามว่าเป็นการเปลี่ยนชื่อเพื่อหลบเลี่ยงทางกฎหมายหรือไม่ ขายให้ใคร โอนหุ้นจริงไหม และนาย A ที่มีชื่อถือหุ้นแทน นายศักดิ์สยาม อาจจะเป็นเพียงนอมินีของครอบครัวชิดชอบใช่หรือไม่ เพราะมีชื่อเป็นลูกจ้างรับเงินเดือน 9,000 บาท แต่กลับให้นายจ้างกู้เงินถึง 200 กว่าล้านบาท โดยไม่มีสัญญาและไม่คิดดอกเบี้ย ต่อมายังมีการซื้อเครื่องบินส่วนบุคคลด้วยเงินสดราคา 12 ล้านบาท ซึ่งเป็นเครื่องบินแบบเดียวกับที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มี รวมถึงกิจการดังกล่าวยังมีการบริจาคให้พรรคภูมิใจไทยด้วย

...

นายปกรณ์วุฒิ อภิปรายต่อไปว่า ก่อน นายศักดิ์สยาม จะรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมคมนาคม มีการโอนกิจการแต่ไม่พบหลักฐานการจ่ายเงิน ทั้งที่กิจการนี้มีทุนจดทะเบียน 120 ล้านบาท โดยไม่ปรากฏเงินก้อนนี้ในบัญชีทรัพย์สินที่ยื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในปี 2562

ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม
ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม

“ในปี 62 ท่านยื่นทรัพย์สินในการเข้ารับตำแหน่ง ส.ส. ว่ามีทรัพย์สินอยู่ที่ 115 ล้านบาท ไม่มีหนี้สิน มีเงินสดบวกเงินฝากอยู่ประมาณ 76 ล้านบาท ทรัพย์สินอื่นๆ เกือบทั้งหมดระบุว่าได้มาก่อนปี 61 แทบทั้งสิ้น คำถามคือ เงิน 120 ล้านบาทก้อนนี้หายไปไหน”

พร้อมระบุว่า พฤติการณ์ต่างๆ ถือว่าขาดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรี อีกทั้งในช่วงที่ดำรงตำแหน่ง กิจการนี้ยังได้งานของกระทรวงคมนาคม ที่มีมูลค่านับ 1,000 ล้านบาท รวมถึงตั้งข้อสังเกตเรื่องการฮั้วประมูลด้วย

ในช่วงท้าย นายปกรณ์วุฒิ กล่าวสรุปการอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า นายศักดิ์สยาม มีพฤติกรรมในการใช้ชื่อนอมินีว่าเป็นเจ้าของธุรกิจตัวเอง แต่ความเป็นจริงยังคงเป็นเจ้าของกิจการมาตลอด ถือเป็นการปกปิดทรัพย์สิน และนำธุรกิจเข้ามาเป็นคู่สัญญากับรัฐ ซึ่งเป็นการใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย เพื่อให้ตนเองมีส่วนได้รับผลประโยชน์จากโครงการต่างๆ ของรัฐ และยังมีพฤติกรรมที่เป็นการฮั้วประมูล

“และนี่ทำให้เห็นว่างบประมาณของกระทรวงที่ท่านเอาไปเทให้พื้นที่ของตัวเอง ทำเป็นอ้างกับประชาชนว่านำความเจริญมาให้คนในพื้นที่ จริงๆ มันก็แค่การหลอกลวงประชาชน เพื่อให้เลือกพวกพ้องของตัวเองกลับเข้ามาสู่อำนาจครั้งแล้วครั้งเล่า หาที่จะกลับเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ให้กับครอบครัว ให้กับตัวเอง ให้กับพวกพ้อง สูบกินภาษีที่มาจากหยาดเหงื่อของประชาชน เข้าไปเป็นความมั่งคั่งของตัวเอง ผมจึงไม่สามารถที่จะไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้อีกต่อไป” ก่อนจบการอภิปรายในเวลา 17.15 น.