6 เข็มก็ยังเอาไม่อยู่ ในที่สุด “เสี่ยหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและ รมว.สาธารณสุข ก็จอดป้าย กลายเป็นผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด–19 ภายหลังกลับจากประเทศฝรั่งเศส
ทั้งๆที่เพิ่งโชว์ถลกแขนให้หมอฉีดวัคซีนไฟเซอร์เข็มกระตุ้น
เจ้ากระทรวงคุณหมอยังเจอพิษโควิด หนีไม่พ้นติดเชื้อจนได้ และยังรวมไปถึงนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯและ รมว.พาณิชย์ ที่ติดเชื้อโควิดจากการเดินทางไปประเทศในแถบยุโรป
2 รองนายกฯติดเชื้องอมแงม ทำประชุม ครม.โหรงเหรง
นั่นก็ไม่ต้องพูดถึงประชาชนทั่วไป ชาวบ้านตาดำๆที่ยังเสี่ยงภัยอยู่ท่ามกลางเชื้อไวรัสมหาภัย ยังแฝงตัวอยู่ทุกสถานที่ ไม่มีจุดไหนปลอดภัย
ตามตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่เด้งกลับมาขาขึ้นเกินหลัก 2 พันคนต่อวัน
สวนทางกันเลยกับบรรยากาศของประเทศไทยที่รัฐบาลเพิ่งประกาศให้โควิด–19 เป็นโรคเฝ้าระวังภายหลังการระบาดใหญ่
ไฟเขียวให้ประชาชนถอดหน้ากากได้ในจุดที่ผ่อนผัน
ในขณะที่ผู้คนยังสับสนกับมาตรการ ไม่ชัวร์กับสถานการณ์โควิดของไทยอยู่ในระดับใดกันแน่
...
กล้าๆกลัวๆไม่มั่นใจกับการโหมประโคมของฝ่ายการเมืองที่พยายามทำให้เห็นว่า คุมเกมโควิดอยู่หมัดแล้ว แนวโน้มกำลังลดระดับเป็นโรคประจำถิ่น
เมื่อนายอนุทินยังติดเชื้อแม้ฉีดวัคซีนเข็มที่ 6 บ่งบอกสถานการณ์ยังไว้วางใจไม่ได้
การระบาดของไวรัสโควิดยังคาราคาซัง ไอ้ที่หวังจะเคลมเป็นโบแดงของรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทยใช้เป็นผลงานโชว์ในสนามเลือกตั้งรอบต่อไป
ต้องถอยหลังกันกรูด เพราะภาพมันย้อนแย้งกัน
หันไปที่มุมทางการเมือง ในจังหวะที่รัฐบาลกำลังเงอะๆงะๆกับการบริหารภายใต้มหาวิกฤติโควิด ตามฟอร์มธรรมชาติทำให้คะแนนความนิยมไหลไปที่ฝ่ายค้าน
แค่นั่งกระดิกขา วิพากษ์วิจารณ์ ไม่ต้องทำอะไร
อาการของสังคมเบื่อหน่ายผู้บริหารชุดปัจจุบันที่นำโดย “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม เต็มที อยากเปลี่ยนรัฐบาลเต็มแก่
นั่นก็เลยไปเข้าทางเกมแห่ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ลูกสาวหัวโปรดของ “นายห้างดูไบ” อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร
ด้วยวิธีตัดต่อพันธุกรรมจากดีเอ็นเอของ “นายห้างดูไบ”
ขี่เกมการตลาด ใช้เส้นทางลัดขึ้นมาอยู่แถวหน้าการเมืองในเวลาไม่กี่อึดใจ
และไม่ใช่ปรากฏการณ์เซอร์ไพรส์แต่อย่างใด กับผลการสำรวจของ “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ว่าด้วยบุคคลที่จะสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรี
“อุ๊งอิ๊ง” แซงโค้งขึ้นแท่นอันดับหนึ่งด้วยคะแนนกว่าร้อยละ 25
เขี่ยแชมป์เก่าอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ หล่นตุ้บมาอยู่อันดับ 4 เหลือคะแนนนิยมแค่ร้อยละ 11 เท่านั้น
แต้มทิ้งห่างกันเกิน 2 ช่วงตัว
แปรผันตามกันกับความนิยมในพรรคการเมืองที่ประชาชนสนับสนุน อันดับหนึ่ง พรรคเพื่อไทย ร้อยละ 36 ส่วนพรรคพลังประชารัฐ หล่นไปอยู่อันดับสี่ที่ร้อยละ 7
เปอร์เซ็นต์ตามหลังกันแบบไม่เห็นฝุ่น
ถ้าเป็นมวยก็ต่อกันขาด โอกาสแทบหมดลุ้น
ผู้นำทหารเฒ่าที่เคยอหังการ โดนเด็กเมื่อวานซืนปาดหน้า
อารมณ์แบบนี้ก็เข้าใจได้ ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ จะขึ้นเสียงแข็ง ไม่สนโพลยกให้ “อุ๊งอิ๊ง” คะแนนนำคนอยากให้เป็นนายกฯมากกว่า เพราะที่ผ่านมาเห็นทำโพลกัน 3-4 ที่ ผลไม่ตรงกันสักอัน
มองให้เป็นธรรมกันหน่อยก็แล้วกัน
สไตล์ “บิ๊กตู่” ปากแข็ง ไม่มีวันหมอบให้ใครง่ายๆ
แต่นั่นก็หักมุมกันกับ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่ออกปากยอมรับเต็มปากเต็มคำ
กระแสค่าย พปชร.ตกต่ำ
แต่ไม่กังวล เพราะมั่นใจว่า จะสามารถปรับเปลี่ยนได้ทันการเลือกตั้งที่จะมาถึงนี้
ว่ากันตามอาการนี้ เทียบกันระหว่าง พล.อ.
ประวิตร กับ พล.อ.ประยุทธ์ ในเรื่องของฟอร์มทางการเมือง ย่อมเป็น “พี่ใหญ่” ที่คุ้นเคยกับนักการเมืองอาชีพมากกว่า
ประสาทสัมผัสรับรู้กระแสได้เร็วกว่า “น้องเล็ก” แน่นอน
พล.อ.ประวิตร ยืนอยู่บนพื้นฐานแห่งความเป็นจริง และสิ่งที่สะท้อนปฏิกิริยาของหัวหน้าค่ายพลังประชารัฐ นั่นก็คือการสั่งการให้พรรคเดินสายโรดโชว์ผลงานรัฐบาล
เป้าหมายคือการตีตื้นกระแสไม่ให้ไหลลึกลามเตลิด
ขืนไม่ขยับอะไร ก็รอวันเจ๊งสถานเดียว
พลังประชารัฐต้องเร่งเครื่อง ฮึดโค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้งใหญ่
แต่ภายใต้เงื่อนไขเดิมๆ ทีมบริหารหน้าเดิมๆ สนับสนุนผู้นำคนเดิมอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จุดนี้ก็ไม่รู้ว่า การขยับโรดโชว์ผลงานกระตุกกระแสของพล.อ.ประวิตร
จะทำให้สังคมเปลี่ยนความคิดโละรัฐบาลได้หรือไม่
ในสภาพที่ประชาชนคนไทยกำลังประสบภาวะความยากลำบากปากท้อง น้ำมันแพง สินค้าแพงไม่มีวี่แววว่าฝีมือบริหารของผู้นำทหารอาชีพจะเอามหาวิกฤติเศรษฐกิจอยู่
เสียงโห่ไล่ “บิ๊กตู่” ดังไปทั่วทุกสารทิศ
เศรษฐกิจคือ “จุดตาย” ของรัฐบาล
เรื่องของเรื่อง ไม่ใช่แค่ฟอร์มบริหารของทีมทหารเฒ่า 3 ป.ที่โหลดแป้กเท่านั้น มันยังมีปัญหาภายในพรรคพลังประชารัฐที่อีนุงตุงนัง
สภาพไม่แน่ใจว่าถึงวันเลือกตั้งจะเหลือ ส.ส.ปักหลักอยู่เท่าไหร่
ในสายตาของโคตรเซียนการเมืองฟันธงต่ำร้อยชัวร์
เผลอๆจะหลุดแนวรับ 50 ที่นั่ง กลายเป็นพรรคขนาดกลางไปถึงขนาดเล็ก
เอาแค่การเลือกประเดิมเปิดโรดโชว์เวทีแรกที่จังหวัดชลบุรี ตามคิวอาสาของ “เสี่ยเฮ้ง” นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ที่กำลังเบ่งตัว พองลม ขึ้นเทียบชั้นบ้านใหญ่ตระกูลคุณปลื้ม
จุดเริ่มก็สะท้อนสถานการณ์แตกเป็นเสี่ยงในค่ายพลังประชารัฐ
และแทนที่เป้าหมายจะโรดโชว์ผลงานกู้กระแส กลับจะเพิ่มอาการอึดอัดให้คู่กัดในค่ายพปชร.ที่รอเวลาปะทุ แตกหัก แยกย้าย ทางใคร ทางมัน
เมื่อทีมทหารเฒ่า 3 ป. เลือกใช้งาน “เสี่ยเฮ้ง” เป็นฟันเฟืองหลัก ก็หักทีม
บ้านใหญ่ตระกูล “คุณปลื้ม” ออกจากบัญชีรายชื่อค่ายพลังประชารัฐได้
“ลูกกำนัน” กับ “เบ๊กำนัน” ไม่มีวันร่วมทางกันอีกต่อไป
ไม่นับทีมโคราชของ “เสี่ยปาน” นายวิรัช รัตนเศรษฐ อดีตประธานวิปรัฐบาล ที่กำลังลุ้นวิบากกรรมคดีทุจริตสนามฟุตซอลเหงื่อตกในชั้นศาล ตามรายงานข่าววงในน่าจะหอบสำมะโนครัวหนีไปปักหลักกับค่ายเซราะกราว ภูมิใจไทย
และที่นิ่งๆอยู่ ก็ไม่ได้มีหลักประกันจะเปิดตูดชิ่งกันนาทีสุดท้าย
ตามสภาพโครงสร้างของพรรคพลังประชารัฐที่กลุ่มก๊วนเกาะกันอยู่แบบหลวมๆ
รั้ง ส.ส.ให้อยู่ด้วย “กล้วย” เป็นโกดัง แจกกันเป็นหวีเป็นเครือ
แค่รักษาสภาพพรรคแกนนำรัฐบาลให้รอดเทอมนี้ก็เหนื่อยเต็มที นั่นก็ไม่ต้องมองข้ามช็อตไปถึงการเลือกตั้งรอบหน้า พลังประชารัฐลดชั้นจากพรรคใหญ่แน่นอน
และที่น่าสนใจกับแผนเบิ้ลเก้าอี้นายกฯรอบ 3 ของ พล.อ.ประยุทธ์
ณ จุดที่ไม่มีพรรคแกนหลักรัฐบาลเป็นฐานรองอำนาจ โอกาสสูงกว่าตกเป็นของ “เสี่ยหนู” ที่พยายามเบ่งพองลมให้ค่ายเซราะกราว ภูมิใจไทย ขึ้นมาใหญ่แทนพลังประชารัฐ
ปาดหน้ากันเองในขุมข่ายสนับสนุนทีมอำนาจทหารเฒ่า 3 ป.
ที่อยู่ในสภาพ “หมดเวลาไปต่อแล้วครับนาย”.
“ทีมการเมือง”