“ปิยบุตร” พร้อมทนายความเข้ารับฟังข้อกล่าวหา ม.112 แปลกใจเงื่อนไขต้องรายงานตัวทุก 7 วัน ทั้งที่ยังไม่มีคำสั่งขัง ยันยังคงเรียกร้องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ต่อไป จี้ “เทพมนตรี” ศึกษาข้อกฎหมายด้วย

วันที่ 20 มิถุนายน 2565 นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า เดินทางมารับฟังข้อกล่าวหาในคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่ สถานีตำรวจนครบาล (สน.) ดุสิต ในคดีที่ นายเทพมนตรี ลิมปพยอม เป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษตั้งแต่เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2565 โดย ปิยบุตรเดินทางมาถึงในเวลาประมาณ 10.00 น. ก่อนเข้าพบปะทักทายกับมวลชนที่มาร่วมให้กำลังใจเป็นจำนวนมาก รวมทั้งยังมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคก้าวไกล อาทิ นายรังสิมันต์ โรม, นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล, นางสาวเบญจา แสงจันทร์, นางสาวสุทธวรรณ สุบรรณ ณ อยุธยา, นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ รวมถึง นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล มาร่วมให้กำลังใจ ทั้งนี้ นายปิยบุตร ได้เข้าไปรับฟังข้อกล่าวหาพร้อมกับ นายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความ

หลังการรับฟังข้อกล่าวหา นายปิยบุตรพร้อมดัวยนายกฤษฎางค์ ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน โดย นายกฤษฎางค์ ระบุว่า ในส่วนของข้อกล่าวหานั้น มาจากกรณีข้อความจากโพสต์เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ และไลฟ์เฟซบุ๊ก จำนวน 8 ข้อความที่นายเทพมนตรีร้องทุกข์กล่าวโทษมา อย่างไรก็ดี พนักงานสอบสวนเห็นว่ามีเพียง 1 ข้อความเท่านั้นที่เข้าข่ายความผิด

...

นายกฤษฎางค์ กล่าวว่า มีข้อสังเกตในฐานะที่ทำคดีมาตรา 112 มาพอสมควร ว่า การมาพบพนักงานสอบสวนในวันนี้ เป็นเพียงการมาตามนัด จึงไม่ได้ถูกควบคุมตัว แต่เมื่อรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาลเดินทางมา กลับให้ความเห็นว่าควรกำหนดเงื่อนไขให้ปิยบุตรมารายงานตัวทุก 7 วันด้วย ซึ่งไม่ใช่เรื่องปกติ แต่เพื่อไม่ให้พนักงานสอบสวนลำบากใจ นายปิยบุตรจึงยินดีมารายงานตัวทุก 7 วันตามเงื่อนไข

ด้าน นายปิยบุตร กล่าวว่า ข้อความที่ถูกกล่าวโทษทั้ง 8 ข้อความนั้น อ่านแล้วไม่มีข้อไหนเข้าองค์ประกอบความผิด วิญญูชนคนมีเหตุมีผล สติสัมปชัญญะดี หากได้อ่านข้อความเหล่านี้ก็ย่อมพิเคราะห์ได้ว่าไม่เข้าข่ายความผิดแม้แต่คำเดียว แต่เมื่อพนักงานสอบสวนมีความเห็นเช่นนี้ ตัวเองก็พร้อมต่อสู้คดีจนถึงที่สุด

“ดังนั้น สิ่งที่สำคัญมากกว่าผมเองจะโดนคดี คือสังคมไทยตกลงแล้วจะปิดพื้นที่ทุกอย่างจนไม่สามารถพูดคุยเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์กันในพื้นที่สาธารณะได้เลยหรือ หากข้อความที่แสดงความเห็นทางวิชาการอย่างตรงไปตรงมายังโดนคดีได้ เส้นทางที่ถูกต้องคือสังคมไทยควรหาพื้นที่ปลอดภัยในการพูดคุยกัน ยอมรับความจริง และมาตกลงกันว่ากฎเกณฑ์ทางกฎหมายและรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ว่าจะทำอย่างไร ผมขอว่าอย่าให้มันไปสู่ทางตีบตันมากกว่านี้เลย” นายปิยบุตร กล่าว

ทั้งนี้ ปิยบุตร ยังกล่าวอีกว่า ขอยืนยันความปรารถนาดี และจะคงทำงานเรียกร้องการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ต่อไป และสำหรับคนที่กล่าวโทษนั้น ขอว่าเวลาจะร้องให้พิจารณาเรื่องกฎหมายบ้าง ต้องเข้าองค์ประกอบความผิด ไม่ใช่เอาจินตนาการความรู้สึกของตัวเองเที่ยวมาแจ้งความปิดปากกัน