“การเมืองไทย” ติดขัดมา 100 ปี ทำให้...“บ้านเมืองวิกฤติ” และออกจากสภาวะวิกฤติไม่ได้ ศ.นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส บอกว่า เพราะเป็นการเมืองแบบแบ่งข้างแบ่งขั้ว ปะทะ ทอนกำลังกันเอง ปะทุเป็นความรุนแรงหลายครั้ง...

มากกว่าร้อยปีที่ “การเมืองไทย” ไม่ลงตัว ถ้านับตั้งแต่กบฏหมอเหล็งในต้นรัชกาลที่ 6 วิกฤติการเมืองเรื้อรังทำให้ประเทศเสียโอกาส และประเทศไทยตกอยู่ในหลุมดำแห่งวิกฤตการณ์ไม่สามารถขึ้นมาได้

ทำอย่างไรๆก็ขึ้นไม่ได้ ถ้ายังใช้วิธีคิดแบบตะวันตก อารยธรรมตะวันตกที่ครองโลกมาได้สามถึงสี่ร้อยปีก็กำลังวิกฤติที่เรียกว่า “วิกฤติอารยธรรมตะวันตก (Western Civilization Crisis)”

“โลกวิกฤติ” เพราะเสียสมดุลอย่างรุนแรงในทุกมิติ อะไรที่ไม่สมดุลก็จะปั่นป่วน วุ่นวาย รุนแรงวิกฤติ ไม่ยั่งยืน ตรงกันข้ามกับ... ความสมดุลทำให้เกิดความสงบ ความเป็นปกติสุขและความยั่งยืน

ศ.นพ.ประเวศ กล่าวย้ำไปแล้วหลายต่อหลายครั้งว่า ตะวันตกเก่งในเรื่องวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แต่วิธีคิดมีปัญหาที่นำมาสู่การเสียสมดุลของโลก วิธีคิดแบบตะวันตก คือคิดแบบตายตัว เมื่อตายตัวก็แยกส่วน แบ่งข้างแบ่งขั้ว สุดโต่ง การแบ่งข้างแบ่งขั้วทำให้ปะทะ หรือเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน (antagonistic)

...

“การต่อสู้และความรุนแรง ยุโรปจึงเต็มไปด้วยสงครามและ เป็นต้นตอขยายความรุนแรงไปทั่วโลก เพราะครองอำนาจและครองวิธีคิด”

“สังคมไทย” ก็หนีไม่พ้นที่จะถูกอิทธิพลวิธีคิดแยกข้างแยกขั้วแบบตะวันตก การเมืองแบบแยกข้างแยกขั้วทำให้ถอนกำลังและเกิดความรุนแรง การเมืองไม่มีทางลงตัว

วิธีคิดแบบตะวันตกแท้ที่จริงเป็น...“วิถีอำนาจ” แม้จะห่อหุ้มด้วยคำว่า...“ประชาธิปไตย” ในการพัฒนาที่เรียกว่า โลกาภิวัตน์ ก็เต็มไปด้วยโครงสร้างอำนาจ เช่น การคิดเชิงอำนาจ การใช้อำนาจรัฐ การใช้กำลังรบข่มขู่คุกคาม การใช้อำนาจความรู้ การใช้อำนาจทุน การใช้อำนาจในการพัฒนา

...ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำสุดๆและความรุนแรง

ทางสายกลาง” หรือ “มัชฌิมาปฏิปทา” เป็นทางที่พระพุทธองค์ตรัสสอน เป็น ทางสายปัญญา ใช้ความเป็นเหตุเป็นผล ความรู้ ไมตรีจิต และการรวมตัวร่วมคิดร่วมทำ

ของที่เป็นขั้วจะถูกขั้วตรงข้ามจับเคลื่อนไม่ได้ไกล เช่น ประจุไฟฟ้าบวก (โปรตอน) จะถูกประจุไฟฟ้าลบ (อิเล็กตรอน) จับเคลื่อนไม่ได้ไกล แต่อนุภาคที่เป็นกลาง คือนิวตรอนสามารถเคลื่อนทะลุทะลวงได้ไกล

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น...ประชาชนเบื่อความเป็นปฏิปักษ์ จึงเกิด “กระแสชัชชาติ” อย่างล้นหลาม เพราะคุณชัชชาติไม่แสดงว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อใคร เน้นการร่วมคิดร่วมทำและใช้ความรู้

ตอกย้ำว่า “ประเทศไทย” เป็นเมืองพุทธ ควรจะใช้ “ทางสายกลาง”...พัฒนาชีวิตและการอยู่ร่วมกัน ซึ่งรวมทั้งระบบการเมืองด้วย

พรรคการเมืองทางสายกลางแนวพุทธเป็นไฉน? ศ.นพ.ประเวศ บอกว่า หนึ่ง...เป็นพรรคการเมืองที่ไม่คิดเชิงแบ่งข้างแบ่งขั้ว ไม่คิดเชิงปฏิปักษ์ ต่อสู้ โค่นล้มกัน แต่เน้นความร่วมมือทำสิ่งดีๆเพื่อประเทศชาติและประชาชน สอง...ไม่ใช้เงินเป็นเครื่องมือ แต่ใช้ปัญญาและความดี

“การเมืองแบบธนาธิปไตยหรือใช้เงินเป็นใหญ่ในการซื้อเสียงขายเสียง ซื้อตัวผู้สมัครมาเป็นก๊วนเป็นคอก โดยจ่ายเงินเลี้ยงดู แบบที่ว่าป้อนกล้วยให้ลิงกินจะได้สงบ แล้วนายทุนเจ้าของคอกได้สิทธิเป็นรัฐมนตรี ทำให้เสื่อมเสียในศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์อนาริยะ เสื่อมเสียทางศีลธรรม เสื่อมเสียทางคุณภาพ”

ที่สุดแล้วก็....ซ้ำเติมให้บ้านเมืองวิกฤติยิ่งขึ้น ชาวพุทธไม่พึงทำ

สาม...ใช้สัมมาวาจาตามพุทธโอวาท กล่าวคือ จะพูดอะไรต้องเป็นความจริง มีที่มา มีที่อ้างอิง...พูดเป็นปิยวาจา ไม่ใช้คำหยาบ ไม่พูดเพ้อเจ้อ เสียดสี หรือพูดให้แตกสามัคคี...พูดถูกกาลเทศะ...พูดแล้วเกิดประโยชน์ ถ้าไม่เกิดประโยชน์ หรือเสียประโยชน์ก็ไม่พูด

“ถ้าใช้สัมมาวาจาอย่างนี้ ก็จะไม่แตกความสามัคคี และเป็นไปเพื่อปัญญา...ความดีขณะที่มิจฉาวาจาที่มักใช้กัน นำไปสู่การเมืองอกุศลหรืออนาริยะ”

สี่...หน้าที่ของพรรคการเมือง คือคัดเลือกคนดีมีความสามารถเข้ามาเป็นสมาชิกพรรค มีคนดีมีความสามารถจำนวนมากที่อยากทำเพื่อบ้านเมือง แต่เขาไม่สามารถเข้าร่วมกับพรรคการเมืองอย่างที่มีอยู่ ซึ่งแบ่งเป็นข้างเป็นขั้วอย่างรุนแรงและตกอยู่ใต้อำนาจเงิน

“เมื่อมีพรรคการเมืองทางสายกลางที่ไม่แยกทางแยกขั้ว ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อใคร ไม่ใช้เงินเป็นใหญ่ แต่ใช้ปัญญาและความดี จะมีคนเก่งและคนดีเข้าร่วมจำนวนมาก เป็นพรรคการเมืองที่มีสมาชิกจำนวนมากที่สุด เป็นการถักทอพลังบวกบนแผ่นดินไทย เป็นพรรคมหาชนอย่างแท้จริงที่เติบใหญ่เต็มแผ่นดิน”

...เป็นการสร้างพลังพลเมืองที่ตื่นรู้และกัมมันตะ พลังพลเมืองที่ตื่นรู้และกัมมันตะเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด ที่ทำให้การเมืองดี เศรษฐกิจดี ศีลธรรมดี ประเทศก้าวข้ามวิกฤตการณ์ พ้นจากความเป็นอนาริยะไปสู่ความเป็นอาริยะ

หัวใจสำคัญ...ที่ว่าเป็น “พรรค” ที่ใช้ “ปัญญา” นั้น ควรทำความเข้าใจว่า ความรู้และปัญญาอาจแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ...ความรู้ในเทคนิควิธีเพื่อการใช้งาน, ปัญญาที่รู้ความจริงของแผ่นดินไทย

วิกฤติ “โควิด-19” แสดงให้เห็นว่า การเมืองแบบวาทกรรมและเล่นเกมการเมือง โดยปราศจากความรู้ความเข้าใจในความซับซ้อนของปัญหา ไม่สามารถตอบโจทย์ของบ้านเมืองได้

บ้านเมืองเต็มไปด้วยปัญหาที่ซับซ้อนและยาก “การเมืองแบบเก่า” ไม่สามารถทำให้ประเทศก้าวออกจากสภาวะวิกฤติได้

“การเมืองใหม่” คือ “การเมืองทางสายกลาง” ที่ไม่คิดเชิงปฏิปักษ์ต่อใครๆ ไม่ทะเลาะเบาะแว้ง แต่ใช้ปัญญา ความเป็นเหตุเป็นผล ไมตรีจิต และการรวมตัวร่วมคิดร่วมทำ

ถ้าการเมืองระดับชาติขยับมาเป็นกลาง การเมืองทางสายกลาง คนไทยจะก้าวข้ามความขัดแย้งแบ่งข้างแบ่งขั้ว สามารถเข้ามารวมตัวร่วมคิดร่วมทำเต็มแผ่นดิน...มีความมุ่งมั่นร่วมกัน

คนไทยไม่เคยมีความมุ่งมั่นร่วมกัน เมื่อใดคนไทยเกิดความมุ่งมั่นร่วมกัน จะเกิดพลังประดุจการรวมแสงเลเซอร์ ทำให้ทะลุทะลวงออกจากวงล้อมอันหนาแน่นของปัญหาได้

“กุญแจของประเทศไทย คือการรวมตัวร่วมคิดร่วมทำทั้งแผ่นดิน”...ทุกพื้นที่ ทุกองค์กร ทุกประเด็น การเมืองทางสายกลางจึงเป็นการเมืองที่ทำให้เกิด “พลังแผ่นดิน” หรือ “ภูมิพละ”

ถ้าสื่อมวลชนทุกประเภทสื่อให้ประชาชนรู้ความจริงอย่างทั่วถึงว่า “ทางสายกลาง” คือ “ทางออกของประเทศ” ออกจากความมืดของการแบ่งข้างแบ่งขั้ว และเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน ไปสู่ความสว่างทางปัญญา ไมตรีจิต การร่วมคิดร่วมทำ นั่นแหละประชาธิปไตยที่แท้จริง...ประชาธิปไตยทางสายกลาง

ศ.นพ.ประเวศ วะสี ทิ้งท้ายว่า...การคิดแบบตายตัวแยกส่วนแยกข้างแยกขั้วที่นำโดยตะวันตก นำโลกมาสู่สภาวะวิกฤติจนสุดทางไป...“อรุโณทัยแห่งทางสายกลางเริ่มจับขอบฟ้าตะวันออกแล้ว”