“ชัยวุฒิ” เผย ถกยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ สู้ศึกเลือกตั้ง รับเปลี่ยนนโยบายให้สอดคล้องสถานการณ์ เย้ยเพื่อไทย แลนด์สไลด์ได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับประชาชน วางเป้าได้ 150 ที่นั่งก็ตั้งรัฐบาลได้

วันที่ 3 พ.ค. 2565 นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ ครั้งที่ 1 ที่มี นายสมศักดิ์เทพ สุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธาน โดยใช้เวลาประมาณ 30 นาที ว่า ที่ประชุมได้กำหนดนโยบาย แนวทาง และกิจกรรมของพรรคเพื่อเตรียมการเลือกตั้ง รวมถึงการพัฒนาพรรคให้เข้มแข็ง ตลอดจนการประชาสัมพันธ์ผลงานของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา ทั้งหมดเหล่านี้ต้องทำให้ประชาชนรับรู้มากขึ้น

ผู้สื่อข่าวถามว่า เหมือนเป็นการเร่งประชาสัมพันธ์ผลงานรัฐบาลในช่วงโค้งสุดท้ายหรือไม่ นายชัยวุฒิ ระบุว่า ใช่ เพราะเหลือเวลาอีกไม่ถึง 1 ปีตามวาระของรัฐบาล จากนั้นจะเข้าสู่ช่วงการเลือกตั้ง พรรคจึงต้องเตรียมการเลือกตั้ง วางยุทธศาสตร์ต่างๆ เพราะเราเป็นแกนนำพรรครัฐบาล ต้องพูดถึงผลงานรัฐบาล สิ่งที่ทำมาและที่จะทำต่อไปให้เกิดประโยชน์กับประชาชน ทั้งเรื่องแก้ปัญหาเศรษฐกิจ แรงงาน การพัฒนาการศึกษา นอกจากนั้น ยังมีเรื่องกิจกรรมของพรรคที่จะพัฒนาสมาชิกของพรรคซึ่งจะต้องทำต่อไป รวมถึงหาสมาชิกพรรคเพิ่มเติมเพื่อเตรียมการเลือกตั้ง

เมื่อถามถึงนโยบายที่พรรคพลังประชารัฐเคยหาเสียงเรื่องแรงงานไว้จะดำเนินการอย่างไร นายชัยวุฒิ ตอบว่า ไม่ได้มีการคุยกันเรื่องนี้ การประชุมครั้งนี้เราพูดเรื่องอนาคตส่วนอดีตผ่านมาแล้ว อีกทั้งผู้บริหารพรรคเปลี่ยนไปแล้ว จึงต้องพูดเรื่องอนาคตในการเลือกตั้งครั้งหน้า นโยบายก็ต้องว่ากันใหม่ ว่ากรรมการบริหารพรรคและสมาชิกกลุ่มใหม่ที่เข้ามาจะคิดเห็นอย่างไร ซึ่งนโยบายคงไม่เหมือนเดิมต้องปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงของบ้านเมือง

...

ส่วนทีมเศรษฐกิจที่จะเข้ามาขับเคลื่อนนโยบายของพรรค ยังไม่ได้มีการพูดถึงเรื่องเศรษฐกิจ และยังเป็นคนเดิมคือรัฐมนตรีและสมาชิกพรรคที่มีอยู่ ยังไม่ได้มีการพูดถึงคนนอก หากมีคงจะเปิดตัว ส่วนเป้าหมายยังคง 150 ที่นั่งเหมือนเดิม หรือจะเพิ่มเป็น 200 แต่ 150 พอแล้ว เพราะเป็นจำนวนที่สามารถตั้งรัฐบาลได้

สำหรับกรณีที่พรรคเพื่อไทยมั่นใจว่าจะได้ 250 เสียง แลนด์สไลด์แน่นอน นายชัยวุฒิ กล่าวว่า ต้องดูช่วงใกล้ๆ ตอนนี้ดูไม่ออก เพราะยังไม่ถึงเวลาเลือกตั้ง และเป็นสิทธิ์ของแต่ละพรรคที่จะตั้งเป้าหมาย ส่วนจะสำเร็จหรือไม่นั้นอยู่ที่ประชาชนจะให้ความไว้วางใจมากน้อยแค่ไหน.