‘จาตุรนต์’ ชี้ ยิ่ง 2 ป.ผลัดเป็นนายกฯ ยิ่งทำให้ประเทศพัง ปลุกเลือกฝ่ายค้านให้แลนด์สไลด์ สกัด 2 ป.สืบทอดอำนาจ ส่วน ‘พลังปวงชนไทย’ ได้สัญญาณ ‘ประยุทธ์’ ลาออก ‘ก้าวไกล’ เชื่อ ยังหวงตำแหน่ง รอเวลาระเบิดขัดแย้งลูกใหม่ปะทุ
วันที่ 1 พ.ค. 2565 ที่โรงแรมบางแสนเฮอริเทจ บางแสน จ.ชลบุรี พรรคร่วมฝ่ายค้านจัดโครงการผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร พบประชาชน ภายใต้ชื่อ "ทั่วไทยทวงคืนอำนาจประชาชน : เวทีที่ 3 ประชาธิปไตยเสื่อม ประเทศโทรม แรงงานสิ้นหวัง" ซึ่งดำเนินรายการโดย ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์
นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทยและอดีตรองนายกรัฐมนตรี จากพรรคเพื่อไทย กล่าวบนเวทีเสวนา ‘ประชาธิปไตยเสื่อม ประเทศโทรม แรงงานสิ้นหวัง’ โครงการผู้นำฝ่ายค้านพบประชาชน : ทั่วไทยทวงคืนอำนาจประชาชน เวทีที่ 3 ว่า ปัญหาประชาธิปไตยเสื่อมตลอดเวลาที่ผ่านมาภายใต้การบริหารของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำให้ประชาชนไม่ได้รับการใส่ใจในการแก้ปัญหา เพราะรัฐบาลที่ไม่เป็นประชาธิปไตยมีเสียงสนับสนุนจากกลไกอื่นที่ไม่ใช่เสียงประชาชน เมื่อประเทศชาติเกิดปัญหาก็จะมีวิธีแก้ไขอย่างบิดเบี้ยว อาทิ การเกิดวิกฤติโควิด-19 ที่ผ่านมา รัฐบาลนี้ก็ใช้ฝ่ายความมั่นคงมาดูแลปัญหาทั้งหมด ไม่ได้ใช้หมอหรือผู้เชี่ยวชาญอื่นๆ มาช่วยกันระดมสมองทำให้เราได้เห็นภาพการรับมือปัญหาที่ผิดทิศผิดทาง ความเสียหายจึงสูงผิดปกติ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจประเทศก่อเกิดเป็นวิกฤติเศรษฐกิจในเวลาต่อมา และเมื่อโลกเกิดวิกฤติจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้เศรษฐกิจไทยแปรปรวนอย่างหนัก กลายเป็นวิกฤติที่หนักกว่าเดิม อีกทั้งรัฐบาลยังไม่มีความชัดเจนในการแก้ปัญหา ทั้งเรื่องการเปิดเศรษฐกิจ และเปิดการท่องเที่ยว ซึ่งสร้างผลกระทบหลักให้เศรษฐกิจประเทศฟื้นตัวได้ช้า
...
"ส่วนกรณี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ มีกระแสข่าวจะเป็นนายกฯ สำรองนั้น นายจาตุรนต์ ระบุว่า ไม่ว่า นายกฯ คนปัจจุบัน หรือลูกพี่ ก็ไม่ไหวทั้งคู่ จะทำให้บ้านเมืองยิ่งพัง เพียงแต่เรามองไปแล้ว 2 คนนี้ คนใดคนหนึ่งจะเป็นนายกฯ เพราะ 2 คนนี้ร่วมกันตั้ง 250 ส.ว.กันมา ลองไม่มี ส.ว. ลองเลือกให้ฝ่ายค้านชนะได้เสียงเยอะๆ 2 คนนี้ จะไม่ได้เป็นนายกฯ จะได้หยุดสร้างความเสียหายเสียที"นายจาตุรนต์ กล่าว...
ด้าน น.ส.เบญจา แสงจันทร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า เราเห็นการที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แสวงหาการใช้อำนาจเพื่อพวกพ้อง การละเมิดสิทธิมนุษยชน การทำลายผู้เห็นต่าง ปิดกั้นการใช้สิทธิและเสรีภาพของประชาชนและสื่อมวลชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจ ระบบยุติธรรม สิ่งที่ทำให้ประชาธิปไตยถดถอยคือเรื่องนี้ ถ้าไม่นับรวมกรุงเทพฯและปริมณฑล จ.ชลบุรี มีภาคเศรษฐกิจใหญ่ และมีการจ้างงานมากในภาคตะวันออก ขณะนี้ภาคเศรษฐกิจส่งออกก็ยังติดลบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั้งนี้ 4-8 ปีที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้จัดสรรงบประมาณที่เหมาะสม
น.ส.เบญจา ยังระบุว่า 8 ปีที่ผ่านมา เป็นทศวรรษที่สูญหายของประชาชนและคนทั้งประเทศ เราอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองความขัดแย้งในสังคม เราไม่เห็นความพยายามนี้ต้องการประนีประนอมพี่น้องประชาชนไปแก้ไขปัญหาความขัดแย้งของประชาชน ใน 8 ปีที่ผ่านมา มีการต่อสู้ทางการเมือง ติดคุกและมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก และมีการตั้งคำถามการศึกษา ประเทศไทยมีขีดจำกัดการศึกษาล้าหลังกว่าประเทศเพื่อนบ้าน และนักศึกษาก็ออกมาต่อสู้เพื่ออนาคตที่ดีของพวกเขา เราก็ยังไม่รู้อนาคตการศึกษาของไทยจะเดินไปแบบไหนในสถานการณ์ที่ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ตนเห็นระเบิดเวลาลูกใหม่ จะปะทุรุนแรงในอนาคต ทำให้เป็นความตึงเครียดของสถานการณ์การเมืองในปัจจุบัน อีกทั้งสถานการณ์รัฐบาลมีศึกในรัฐบาล มีความง่อนแง่น คนข้างกาย พล.อ.ประยุทธ์ หนีหายไปหมด พล.อ.ประยุทธ์ นั่งกอดเก้าอี้นั่งรากเหง้า ได้สร้างความเหลื่อมล้ำ จะถ่างสูงระหว่างคนรวยกับคนจน ถ้าการเมืองดีจะเห็นการจัดสรรทรัพยากรอย่างเท่าเทียม
"รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ไร้ความศรัทธาจากประชาชนและต้องคืนอำนาจให้กับประชาชน" เบญจา ระบุ
ขณะที่ รศ.ดร.สมชัย ศรีสุทธิยากร ประธานยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนนโยบายพรรคเสรีรวมไทย กล่าวว่า การมี ส.ว. 250 คน เพื่อมาโหวตนายกรัฐมนตรีนั้นเป็นไปเพื่อสืบทอดอำนาจของรัฐประหารอย่างแท้จริง ตนได้เข้าชื่อประชาชน 70,000 คน ได้แก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 272 ให้ ส.ว.เลือกนายกฯ ใน 5 ปีออกไปจากรัฐธรรมนูญ
รศ.ดร.สมชัย กล่าวว่า องค์กรอิสระเป็นที่รวมของคนที่เกษียณอายุราชการ แต่ละเรื่องทำได้ตรงใจประชาชนหรือไม่ ประชาชนอยากถอดถอนทุกวันแต่ทำไม่ได้ สุดท้ายสิ่งที่แก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ได้แก้ไขได้ง่าย ที่แก้แล้วก็แก้แต่เรื่องที่เป็นประโยชน์กับตัวเองเท่านั้น บัตรใบเดียวทำลายพรรคเพื่อไทยเพื่อไม่ให้ได้ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ จากนั้นก็แก้ให้เป็นบัตรเลือกตั้ง 2 ใบเพื่อประโยชน์ตัวเอง แก้เพื่อเห็นแก่พวกเดียวกัน
รศ.ดร.สมชัย กล่าวว่า ประชาธิปไตยเสื่อมจากการออกแบบรัฐธรรมนูญแบบนี้ทำให้ได้ 18 พรรคการเมืองเป็นรัฐบาล ทำให้ได้พรรคเล็ก 1 ส.ส.ต่อรองเป็นจำนวนมาก แต่พรรคพลังปวงชนไทย มี ส.ส. 1 เสียงอยู่ฝ่ายประชาธิปไตยไม่เอากล้วย
ส่วนกรณี นายเสกสกล อัตถาวงศ์ หรือแรมโบ้อีสาน อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรีนั้น รศ.ดร.สมชัย กล่าวว่า นายเสกสกล กำลังมีเรื่องซื้อเสียงเลือกตั้ง รวมถึงใช้เงินเกินกำหนดด้วย เรื่องนี้ส่งให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แล้ว การใช้ตำแหน่งหน้าที่สร้างประโยชน์ให้ตัวเองหรือจะใช้กับพรรคที่จะตั้งใหม่หรือไม่ เรื่องนี้ต้องพิสูจน์ใน ป.ป.ช. อีกครั้ง นายเสกสกล ทำผิดจริยธรรรมของข้าราชการการเมือง แม้จะลาออกจากตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีหรือลาออกจากผู้ก่อตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติไม่ใช่เรื่องนี้จะจบ ถ้าทุกเรื่องอยู่ที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทยแล้ว เรื่องนี้ขอเพียงแค่ใช้เท้าเขี่ยเท่านั้น
พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไร้สัจจะ เพราะถวายสัตย์ฯ ยังไม่ครบก่อนเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนไม่มีสัจจะยิ่งหมดราคา อีกทั้ง วันนี้ประชาธิปไตยเสื่อม แรงงานสิ้นหวัง ที่เสื่อมเพราะมีผู้นำเสื่อม ผู้นำที่ไร้สัจจะ
ด้าน นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อชาติ กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ อยู่มา 8 ปีบริหารใช้งบฯ มาแล้วกว่า 20 ล้านล้านบาท และมีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันบ้าง มีแต่ประเทศแย่ลง เศรษฐกิจพัง ประชาชนได้แต่เศษเงินที่มาแจก แต่ไม่สร้างประสิทธิภาพอะไร ไม่ทำให้เศรษฐกิจหมุนเวียน ปกติเงินที่จะไปถ้าสร้างให้เกิดประโยชน์ ตนขอยืนยันว่ารัฐบาลต้องให้ความสำคัญ ทหารเป็นรัฐบาลไม่ได้ ทหารมีหน้าที่ปกป้องประเทศ ต้องให้ผู้คนที่เป็นนักบริหาร ถ้าเป็นนักธุรกิจก็เข้าใจเศรษฐกิจ ประเทศจะได้เจริญ
นายนิคม บุญวิเศษ หัวหน้าพรรคพลังปวงชนไทย ระบุว่าประเทศไทย 4 ปีมีรัฐประหารครั้งหนึ่ง ถือว่ามากที่สุดของโลก ทั้งนี้รัฐบาลพรรคไทยรักไทยที่มาจากการเลือกตั้งมีการบริหารประเทศต่อเนื่อง ประชาชนกำลังมีความหวัง ตนเกิดมาเห็นประเทศกำลังพัฒนาก็ยังไม่พัฒนาเสียที พอมีรัฐบาลพรรคไทยรักไทย ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ มาบริหารก็ทำให้ประเทศที่เคยเป็นหนี้ สามารถใช้หนี้ไอเอ็มเอฟได้ก่อนกำหนด และเป็นประเทศให้กู้ ทั้งนี้ พรรคฝ่ายค้านล้วนแต่เป็นพรรคที่มีความรู้ แต่ถูกกีดกันโดยกฎหมายเอาเปรียบ หลังวันเลือกตั้งพรรคฝ่ายค้านลงสัตยาบันมีเสียงมากกว่าพรรครัฐบาล แต่กลับมีการเกลี่ยคะแนนให้พรรคที่ไม่ถึง 75,000 เสียง
นายนิคม ยังเชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะลาออกในเดือน มิ.ย. อีกทั้งที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ ก็ข่มขืนจิตใจประชาชนอยู่ ทั้งที่ประชาชนไม่อยากให้เป็นนายกรัฐมนตรี
จากนั้น นายนิคมได้ถามประชาชนที่มารับฟังเวทีเสวนาว่าอยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ต่อหรือไม่ ทำให้ประชาชนส่งเสียงพร้อมเพรียงกันว่า "ออกไป"