เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว “ข้าวเหนียวมะม่วง” กลายเป็นข่าวใหญ่ของประเทศไทยทั้งพาดหัวสื่อหลักและสื่อสังคมออนไลน์ ทำให้ยอดขายข้าวเหนียวมะม่วงทั่วประเทศไทยพุ่งกระฉูด
อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการขึ้นเวทีโชว์ของแร็ปเปอร์สาวไทย ที่มีชื่อเรียกสั้นๆว่า “มิลลิ” หรือ MILLI ในเทศกาลดนตรีระดับโลก “Coachella 2022” ที่แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา
ระหว่างแสดงนักร้องสาวไทย หิ้วข้าวเหนียวมะม่วงขึ้นไปรับประทานประกอบการร้องเพลงด้วย เรียกเสียงฮือฮาได้สนั่นโลก เพราะรายการนี้ มีการถ่ายทอดสดหรือสตรีมมิงไปทั่วโลกทางออนไลน์
โดยเฉพาะในบ้านเราฮือฮามากกว่าเพื่อน เกิดปรากฏการณ์ผู้คนไปเข้าคิวซื้อข้าวเหนียวมะม่วงตามเจ้าต่างๆโดยเฉพาะเจ้าโด่งดังระดับชวนชิมนั้น ว่ากันว่าคิวยาวเลื้อยไปเลื้อยมาทีเดียว
วันต่อมาก็มีการพูดถึงนโยบาย Soft Power กันยกใหญ่ บอกว่าสิ่งที่น้องมิลลิโชว์ให้เห็นนี่แหละคือตัวอย่างของ Soft Power จากประเทศไทย และสามารถนำไปต่อยอดเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์สู่เวทีโลกได้อย่างมหาศาล
รัฐบาลควรจะนำสินค้าจากวัฒนธรรมไทยอื่นๆออกไปสู่ตลาดโลกอย่างจริงจัง ไม่ใช่ทำแบบเล่นๆ เหมือนไม่ได้ทำอย่างทุกวันนี้
ฝ่ายรัฐบาลก็ออกมาแก้ตัวว่า ทุกวันนี้ก็ทำจริงจังอยู่แล้ว โฟกัสใน 5 เรื่องที่เป็นจุดแข็งทางวัฒนธรรมของเรามาตลอด
ได้แก่ นโยบาย 5F ซึ่งประกอบด้วย Food (อาหาร), Film (ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ทุกวันนี้บ้านเราฮิตมากกลายเป็นสถานที่หรือโลเกชันให้ภาพยนตร์ต่างประเทศเข้ามาถ่ายทำ), Fashion (ผ้าไทยและการออกแบบแฟชั่น ฯลฯ), Fighting (มวยไทย) และสุดท้ายคือ Festival หรือเทศกาลต่างๆนั่นเอง
เรียกว่าข้าวเหนียวมะม่วงกล่องเดียวที่น้องมิลลิเอาขึ้นไปรับประทานโชว์บนเวทีคอนเสิร์ตที่แคลิฟอร์เนีย ได้จุดประกายเรื่อง Soft Power ขึ้นมาได้อย่างเหลือเชื่อ
...
แต่ประกายที่ว่านี้จะโชติช่วงชัชวาลต่อไป หรือจะเป็นแค่ “ไฟไหม้ฟาง” คือ สว่างขึ้นมาแบบวูบวาบ...พักเดียวก็ดับสนิท คงเป็นเรื่องที่จะต้องติดตามต่อไปครับ
ผมขอกลับมาพูดถึงเรื่อง “ข้าวเหนียวมะม่วง” อย่างเจาะจงดีกว่า... ว่าเมื่อเกิดกระแสร้อนแรงขึ้นเช่นนี้แล้ว เราจะโปรโมตต่อไปอย่างไร
ถ้าท่านผู้อ่านจำได้ ผมเคยเขียนถึงไอศกรีม “มะม่วงอกร่องทอง” ของ สเวนเซ่นส์ เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน ซึ่งเขาขายคู่กับข้าวเหนียวด้วย มีทั้งข้าวเหนียวใบเตยและข้าวเหนียวอัญชัน
ผมติดใจมาก เขียนขอร้องให้ สเวนเซ่นส์ ประเทศไทยช่วยเอาไปเผยแพร่ใน สเวนเซ่นส์ ทุกสาขาทั่วโลก เพื่อเป็นการโปรโมตไอศกรีมมะม่วงอกร่องและข้าวเหนียวไทย
ซึ่งโอกาสจะทำได้มีสูงทีเดียว เพราะสเวนเซ่นส์เขามีเครือข่ายอยู่แล้ว โดยเฉพาะในเอเชีย ทราบว่ามีเยอะมากและเปิดสาขาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนกรณี “ข้าวเหนียวมะม่วง” แท้ๆร้อยเปอร์เซ็นต์ที่น้องมิลลิจุดพลุขึ้นมานี้ ในทางปฏิบัติน่าจะขายได้ยากกว่าไอศกรีม เพราะไม่มีแบรนด์อะไรที่โด่งดังอยู่แล้วคอยรองรับหรือทำการตลาดให้
ก็ต้องอาศัยแบรนด์ประเทศไทยโดยตรงเลย โปรโมตให้เป็นหนึ่งใน “อาหารไทย” คู่กับ “ผัดไทย” ที่เป็น เมนูหลัก ของร้านอาหารไทย ทั่วโลก...โดยย้ำให้ข้าวเหนียวมะม่วงเป็นของหวานตบท้าย
เมื่อสนับสนุนหรือส่งเสริมให้ร้านอาหารไทยทั่วโลกเพิ่มเมนูข้าวเหนียวมะม่วงขึ้นมา
แล้ว...รัฐบาลไทยจะโดยกระทรวงไหนก็แล้วแต่เถอะ ขอให้ช่วยทำประชาสัมพันธ์ในวงกว้างออกมาเรื่อยๆ อย่าให้ชาวโลกลืมข้าวเหนียวมะม่วงไทยแลนด์โดยเด็ดขาด
ที่สำคัญกระแสที่เราต้องการโดยแท้จริง ต้องเป็นกระแสตลาดต่างประเทศนะครับ...เพราะตลาดในประเทศน่ะ คนไทยเราชอบกินข้าวเหนียวมะม่วงอยู่แล้ว โปรโมตเท่าที่น้องมิลลิโปรโมต ผมว่าน่าจะพอเพียง
ทำอย่างไรเราจะโปรโมตให้คนทั่วโลกหันมากินข้าวเหนียวมะม่วง อันจะส่งผลให้มีการสั่งซื้อทั้งข้าวเหนียวและมะม่วงจากประเทศไทยโดยไม่มีการบีบบังคับ แต่เขายอมรับกันเองด้วยความสมัครใจ ตามนิยามของคำว่า Soft Power ขึ้นมาให้ได้ในที่สุด?
นั่นล่ะครับ...คือสิ่งที่รัฐบาลจะต้องรีบรับไปดำเนินการก่อนที่ “กระแส” Mango sticky rice ครั้งนี้จะมอดไหม้ลงไป.
“ซูม”