“ทนายตั้ม” ยันหอบข้อมูลเข้าร้องเรียน บช.น. วันที่ 22 เม.ย. กรณีนายตำรวจยศ “พล.ต.ต.” เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพยานหลักฐาน เข้าไปเกลี้ยกล่อมแม่เหยื่อ นศ.วัย 18 ปีผู้เสียหายรายแรก พร้อมเปิดข้อมูลหลักฐานทั้งหมดให้ตำรวจตรวจสอบข้อเท็จจริง พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผบช.น. พร้อมรับข้อมูลการแทรกแซงคดี แต่ ณ ปัจจุบันยังไม่พบ ถ้าพบจะดำเนินการอย่างเด็ดขาด ยันดำเนินการสอบสวนอย่างละเอียดรอบคอบ แจงมีทั้งหมด 15 คดี ขาดอายุความ 2 คดี และเกิดในต่างประเทศ 1 คดี รอง ผบช.น. เตือนระวังการเสนอข้อมูลเจรจาไกล่เกลี่ยหวั่นกระทบทำเหยื่อไขว้เขว ถึงตอนนี้ยังไม่มีเหยื่อเปลี่ยนคำให้การ

กรณี “ทนายตั้ม” นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน โพสต์รูปภาพ นศ.สาววัย 18 ปี มหาวิทยาลัยของรัฐแห่งหนึ่งเข้าขอคำปรึกษาเรื่องคดีความ หลังถูกนายปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ทำอนาจารที่ร้านอาหารกึ่งผับอโบฟ อีเลฟเว่น บนดาดฟ้าโรงแรมเฟรเซอร์ สวีทส์ ซอยสุขุมวิท 11 กลายเป็นเรื่องใหญ่โต หลังจากนั้นมีผู้เสียหายแห่เข้าแจ้งความร้องทุกข์ที่ สน.ลุมพินี เพิ่มรวม 15 คน ขณะที่นายปริญญ์แถลงลาออกทุกตำแหน่งในพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อออกมาสู้คดีในกระบวนการยุติธรรม และปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ความคืบหน้าเมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 21 เม.ย. ผู้สื่อข่าวโทรศัพท์สอบถามนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม กรณีออกมาแฉว่ามีนายตำรวจยศ พล.ต.ต. พยายามแทรกแซงคดี เข้าเจรจาเกลี้ยกล่อมแม่เหยื่อ นศ.หญิงอายุ 18 ปี ผู้เสียหายคดีแรก ทนายตั้มเปิดเผยว่า ช่วงเช้าวันที่ 22 เม.ย. ตนจะเดินทางไปที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) เพื่อนำเรื่องการเข้าแทรกแซงคดีของนายตำรวจยศ “พล.ต.ต.” เข้าไปร้องเรียน พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผบช.น. ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าว พร้อมยืนยันว่าขณะนี้ยังไม่มีผู้เสียหายรายใดถอนแจ้งความและขอให้สื่อมวลชนติดตามความเคลื่อนไหวเรื่องการยื่นหนังสือวันพรุ่งนี้ พร้อมจะเปิดเผยรายละเอียดทั้งหมดต่อไป

...

ต่อมาผู้สื่อข่าวโทรศัพท์สอบถามความคืบหน้าคดีกับ พล.ต.ต.ไตรรงค์ ผิวพรรณ รอง ผบช.น. เผยว่า กรณีนายษิทรา เบี้ยบังเกิด ออกมาให้ข้อมูลสื่อมวลชนเรื่องนายตำรวจยศ “พล.ต.ต.” เข้าไปเจรจากับทางมารดาของผู้เสียหายอายุ 18 ปี ตนยืนยันเหมือนเดิมว่าทุกคดียังไม่มีการเปลี่ยนแปลง ผู้เสียหายทุกคดียังยืนยันจะดำเนินคดีกับผู้ต้องหา ส่วนการที่ทนายตั้มจะเข้ายื่นร้องเรียนกับ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผบช.น. ถือเป็นสิทธิ์ของทนายตั้ม แต่ตนยืนยันว่า ที่ผ่านมาไม่เคยมีตำรวจยศไหนเข้ามาแทรกแซงหรือทำให้สำนวนอ่อนลง ไม่มีการยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หากเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้นถือเป็นเรื่องของจินตนาการ พนักงานสอบสวนต้องดำเนินการไปตามข้อเท็จจริง

“ในส่วนการสอบสวนต้องขอเวลาให้พนักงานสอบสวนพิจารณาการให้ปากคำของผู้เสียหายก่อน เนื่องจากทุกคดีที่รับเพิ่มมาใหม่เป็นคดีที่เกิดขึ้นนานแล้ว จำเป็นต้องตรวจสอบคำให้การของผู้กล่าวหาด้วย เพื่อความเป็นธรรมกับทั้ง 2 ฝ่าย ก่อนแจ้งข้อหากับตัวผู้ต้องหาต่อไป” รอง ผบช.น.กล่าว

พล.ต.ต.ไตรรงค์เน้นย้ำว่า อยากฝากสื่อมวลชนและบุคคลที่เกี่ยวข้องให้ใช้ความระมัดระวังการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร ทั้งเรื่องการเจรจาไกล่เกลี่ย หรือยอมความ หรือการเข้าไปยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน เพราะข่าวดังกล่าวอาจทำให้ผู้เสียหายที่เข้ามาแจ้งความดำเนินคดีเกิดการไขว้เขวได้ ผู้เสียหายถูกล่วงละเมิดและครอบครัวของผู้เสียหายมีความกล้าหาญมากแล้ว แต่กระแสข่าวเช่นนี้อาจส่งผลกระทบกลายเป็นความกดดันผู้เสียหายได้ ยืนยันว่าขณะนี้ผู้เสียหายทั้งหมดไม่เคยเปลี่ยนแปลงคำให้การใดๆเลย และไม่เคยมีนายตำรวจยศไหนเข้ามาแทรกแซงการทำงานของพนักงานสอบสวน ขอให้เชื่อมั่นการทำหน้าที่ของพนักงานสอบสวน

ผู้สื่อข่าวถามถึงเหตุการณ์นายธนัตถ์ ธนากิจอำนวย หรือไฮโซลูกนัท ใช้วาจาไม่เหมาะสมเข้าไปต่อว่า พ.ต.อ.นิมิตร นูโพนทอง ผกก.สน.ลุมพินี กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ตรวจค้นคอนโดมิเนียม ทาวเวอร์ พาร์ค ซอยสุขุมวิท 3 แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา ของนายปริญญ์ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 19 เม.ย. ตำรวจจะมีการดำเนินการอย่างไรหรือไม่ พล.ต.ต.ไตรรงค์กล่าวว่า ขณะเกิดเหตุ พ.ต.อ.นิมิตรใช้ความอดทนอดกลั้น ก่อนทำหนังสือรายงานเหตุการณ์ไปยังกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) เพื่อให้ฝ่ายกฎหมาย บช.น. พิจารณาว่าการกระทำของไฮโซลูกนัท เข้าข่ายเป็นความผิดข้อหาใดที่จะต้องดำเนินคดี เนื่องจากการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดคดีอาญาแผ่นดิน ดูหมิ่นเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่ มีการกล่าวหาตำรวจ พนักงานสอบสวน และตัวผู้กำกับที่ไปทำหน้าที่ ฉะนั้นต้องให้ฝ่ายกฎหมายตีความว่าเป็นความผิดฐานใด เนื่องจากการดูหมิ่นนั้นมีผู้เสียหายเป็นองค์รวม ไม่ใช่การกระทำเฉพาะส่วนบุคคล ทั้งนี้ การทำหน้าที่ของตำรวจไม่อยากให้เกิดการตอบโต้กัน เพราะรู้สึกเห็นใจว่าภรรยาของไฮโซลูกนัทเป็น 1 ในผู้เสียหาย แต่เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นเช่นนี้ต้องว่ากันไปตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น

ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล เมื่อเวลา 11.30 น. พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผบช.น. กล่าวว่า เบื้องต้นตรวจสอบคดีทั้งหมด 15 คดี สน.ลุมพินี รับไว้ 8 คดี ส่งให้ จ.เพชรบุรี 1 คดี สน.ห้วยขวาง 1 คดี และมีคดีที่ จ.เชียงใหม่ อีก 1 คดี ขาดอายุความ 2 คดี ความผิดนอกราชอาณาจักร 1 คดี และอยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะเป็นความผิดอาญาต่อแผ่นดิน 1 คดี ยืนยันดำเนินคดีให้ผู้เสียหายทุกราย อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเตรียมแจ้งข้อหาเพิ่มเติม ส่วนกรณีเกิดขึ้นเมื่อปี 63 ที่ผ่านมาอีกคดี อยู่ระหว่างตัดสินใจว่าจะแจ้งความหรือไม่ ยืนยันให้ความเป็นธรรมแก่ผู้เสียหายและรวบรวมพยานหลักฐานมากที่สุด

ถามถึงกรณีมีข้อมูลว่า พล.ต.ต.เข้ามาคุยหว่านล้อมผู้เสียหาย พล.ต.ท.สำราญกล่าวว่า ในรูปคดีหรือสำนวนการสอบสวนยังไม่มีใครเข้ามาแทรกแซง ต้องพิสูจน์ทราบว่ากรณีเป็นการแทรกแซงผิดกฎหมายก็ดำเนินคดีตามกฎหมาย ส่วนที่ทนายความคุยกับผู้เสียหายตนไม่ทราบ หากมีการข่มขู่พยาน หรือคนที่เกี่ยวข้องกับคดี ตำรวจจะดำเนินการอย่างเด็ดขาด ส่วนจะมีการกลับคำให้การนั้น เป็นความผิดยอมความได้ ตำรวจจะไม่ก้าวล่วง แต่ถ้ายอมความไม่ได้ต้องถูกดำเนินคดีถึงแม้ผู้เสียหายไม่เอาเรื่อง

ถามว่ามีการส่งผู้เสียหายปลอมเข้ามา พล.ต.ท.สำราญกล่าวว่า ทุกกรณีเน้นย้ำให้รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ทราบการกระทำความผิด สอบสวนให้ชัดเจนให้สิ้นกระแสความ ตำรวจตรวจสอบโดยละเอียดทุกคน อย่างไรก็ตาม ทนายติดต่อผู้เสียหายไม่ได้ตำรวจคงไม่ก้าวล่วง ส่วนกรณีทนายพาสื่อมวลชนไปเป็นการกดดันตำรวจหรือไม่ ตนเชื่อมั่นในพนักงานสอบสวน สน.ลุมพินี การทำงานของ ผกก.สน.ลุมพินี รวมถึงตนลงไปดูแลด้วยตัวเอง ส่วนที่มีการนำเสนอตามโซเชียลมีเดียไม่สามารถทำให้ข้อเท็จจริงคลาด เคลื่อนได้ เพราะตำรวจดำเนินการตามพยานหลักฐาน