“บิ๊กตู่” ชวนประชาชนร่วมงาน “ใต้ร่มพระบารมี 240 ปี กรุงรัตนโกสินทร์” ตั้งแต่วันนี้ - 24 เม.ย. ส่งเสริมวัฒนธรรม หลอมรวมจิตใจไทยให้เป็นหนึ่งเดียว

วันที่ 20 เม.ย. 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัรฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โพสต์ข้อความและภาพผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊กถึงพี่น้องประชาชนชาวไทยที่รัก ว่า เมื่อวานนี้ (19 เม.ย. 2565) ได้ร่วมกิจกรรมประชาสัมพันธ์งาน “ใต้ร่มพระบารมี 240 ปี กรุงรัตนโกสินทร์” ที่มีกำหนดจัดงานตั้งแต่วันที่ 20-24 เม.ย. 2565 เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณและเทิดพระเกียรติพระมหากษัตริย์ไทยแห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ จึงขอเชิญชวนประชาชนพาลูกหลานมาเที่ยวชมวัง พิพิธภัณฑ์ เข้าวัดไหว้พระขอพรเสริมสิริมงคล รวมทั้งเรียนรู้สืบสานมรดกศิลปวัฒนธรรมของชาติ ผ่าน 20 แหล่งเรียนรู้รอบเกาะรัตนโกสินทร์ เชื่อว่าความภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์และความเป็นไทย จะช่วยหลอมรวมจิตใจไทยให้เป็นหนึ่งเดียว ก่อให้เกิดความรัก ความหวงแหนสมบัติของชาติที่บรรพบุรุษของเราได้ปกป้องรักษาไว้ให้เราในวันนี้ และลูกหลานในวันข้างหน้า

สำหรับกิจกรรมเหล่านี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมวัฒนธรรมของไทยให้เป็นที่รู้จักทั่วโลก โดยมอบนโยบายในการแปลงมรดกทางวัฒนธรรม มาสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ จากระดับท้องถิ่นสู่เวทีระดับโลก ทั้ง 5F คือ

1. Food - อาหาร
2. Film - ภาพยนตร์และวีดิทัศน์
3. Fashion - การออกแบบแฟชั่นไทย
4. Fighting - ศิลปะการป้องกันตัวแบบไทย
5. Festival - เทศกาลประเพณีไทย

นอกจากนี้ ยังมีนโยบายวัฒนธรรมกินได้ ที่มุ่งเน้นส่งเสริมให้เกิดการรวมตัวกันในชุมชน แสวงหาจุดเด่น-จุดแข็ง-จุดขาย ที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น ศิลปหัตถกรรมพื้นบ้าน สินค้าและผลิตภัณฑ์จากชุมชน อาหารการกิน รวมทั้งการแสดงที่เป็นเอกลักษณ์ในแต่ละภูมิภาค จัดเป็นตลาดนัด ตลาดชุมชน ช่วงเสาร์-อาทิตย์ หรือช่วงเทศกาลต่างๆ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและเสริมสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจฐานราก ให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ กระจายความเจริญไปสู่ท้องถิ่น ทุกอย่างเกิดจากความร่ำรวยทางวัฒนธรรมของเรา ที่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก ที่รัฐบาลผลักดันมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อต่อยอด สร้างมูลค่าเพิ่ม และประทับตราแบรนด์ “Thailand” ให้ตราตรึงในใจชาวโลก ทุกครั้งที่นึกถึง

...

นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้อนุรักษ์สิ่งเก่าที่เป็นมรดกของชาติควบคู่กันไปด้วย เช่น การประสานขอรับมอบโบราณวัตถุ-ศิลปวัตถุของไทยที่อยู่ในต่างประเทศ โดยช่วงปี 2557 ถึงปัจจุบัน ได้รับคืน 10 ครั้ง รวม 759 รายการ จากทั้งหมด 1,090 รายการ รวมทั้งนโยบายของรัฐบาลที่ทำงานอย่างใกล้ชิดกับยูเนสโก (องค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ) เพื่อพิทักษ์และอนุรักษ์ไว้ซึ่งมรดกของชาติให้คงอยู่ชั่วลูกชั่วหลาน โดยการเสนอขึ้นทะเบียนมรดกโลกในหลากหลายสาขา ได้แก่

1. “แหล่งมรดกโลก” เช่น ผืนป่าแก่งกระจาน และยังมีอีก 4 แห่งที่ได้ขึ้นบัญชีเบื้องต้น และอยู่ระหว่างกระบวนการเสนอให้ที่ประชุมพิจารณา คือ อนุสรณ์สถาน-ภูมิทัศน์วัฒนธรรมของเชียงใหม่ นครหลวงของล้านนา, พระธาตุพนม, กลุ่มศาสนสถานปราสาทพนมรุ้ง-ปราสาทเมืองต่ำ-ปราสาทปลายบัด และเมืองโบราณศรีเทพ

2. “มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้” เช่น โขน นวดไทย และโนรา ขณะที่ เทศกาลสงกรานต์ อยู่ในระหว่างการเสนอให้ขึ้นทะเบียนเช่นกัน

3. “มรดกความทรงจำแห่งโลก” เช่น ฟิล์มกระจกและภาพต้นฉบับจากฟิล์มกระจก ชุดหอพระสมุดวชิรญาณ ของสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ สำหรับนันโทปนันทสูตรคาหลวง และเอกสารใบลานเรื่องอุรังคธาตุ อยู่ระหว่างกระบวนการเสนอให้ที่ประชุมพิจารณา

4. “เครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโก” (UNESCO Creative Cities Network) จากแนวคิดการใช้ศิลปวัฒนธรรมและเศรษฐกิจสร้างสรรค์เป็นตัวขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน 7 สาขา ได้แก่ หัตถกรรมและศิลปะพื้นบ้าน การออกแบบ ภาพยนตร์อาหาร วรรณกรรม สื่อศิลปะ และดนตรี ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีเมืองที่ได้รับการรับรองเป็นเมืองสร้างสรรค์แล้ว ในช่วงปี พ.ศ.2558-ปัจจุบัน จำนวน 5 เมือง ได้แก่

  • เทศบาลนครภูเก็ต (สาขาอาหาร)
  • จังหวัดเชียงใหม่ (สาขาหัตถกรรมและศิลปะพื้นบ้าน)
  • จังหวัดสุโขทัย (สาขาหัตถกรรมและศิลปะพื้นบ้าน)
  • กรุงเทพมหานคร (สาขาการออกแบบ)
  • จังหวัดเพชรบุรี (สาขาอาหาร)


และอยู่ระหว่างเตรียมการเสนอเป็นเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ฯ อีก 3 เมือง ได้แก่ เชียงราย (สาขาการออกแบบ) นครปฐม (สาขาดนตรี) และสุพรรณบุรี (สาขาดนตรี)

พล.อ.ประยุทธ์ ระบุด้วยว่า ทั้งหมดนี้เป็นตัวอย่างการดำเนินการในระดับนโยบาย เพื่อผลักดันอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของไทยให้เป็นสินค้าส่งออกทางวัฒนธรรม นำรายได้เข้าประเทศและขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างเป็นขั้นเป็นตอนและยั่งยืน รัฐบาลดำเนินการอย่างครอบคลุมตลอดห่วงโซ่อุตสาหกรรม รวมทั้ง Ecosytem และ Platform ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในยุคดิจิทัล บนฐานของต้นทุนทางวัฒนธรรมอันลึกซึ้งและกว้างขวาง

“เราคนไทยโชคดีที่ได้รับมรดกสืบทอดต่อกันมาจากรุ่นปู่ย่าตายายที่สั่งสมและพัฒนาเรื่อยมา ดังนั้นผมเห็นว่าเราทุกคน ทุกภาคส่วน จะต้องร่วมมือกัน เพื่อให้เกิดพลังในการขับเคลื่อนครั้งยิ่งใหญ่ของชาติบ้านเมืองในทุกๆ ด้านในยุคหลังโควิด”