“บิ๊กตู่” ขอบคุณทุกคน สงกรานต์ผ่านไปด้วยดี ยอมรับเรื่องงบประมาณเป็นปัญหา ห่วงการใช้จ่ายของประชาชน ถ้ามีเงินน้อยต้องเลือกใช้ให้เหมาะกับสถานะ ยัน ไม่นิ่งนอนใจ พยายามยกระดับรายได้
เมื่อเวลาประมาณ 12.40 น. วันที่ 19 เม.ย. 2565 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงข่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า วันนี้เป็นประชุมครั้งแรกหลังจากหยุดยาวสงกรานต์ที่ผ่านไปได้ด้วยดี ขอบคุณเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง บุคลากรทางการแพทย์ ทั้งหน้างานและเบื้องหลัง ช่วยดูแลความปลอดภัยประชาชนตลอดช่วงวันหยุดที่ผ่านมา
พร้อมมองว่าสงกรานต์ปีนี้เป็นสัญลักษณ์การเริ่มต้นใหม่ในการขับเคลื่อนประเทศ ฟื้นฟูเศรษฐกิจ ตามแผนโรดแม็ป การท่องเที่ยว ลงทุน ส่งออก การสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางได้รับผลกระทบมากที่สุด รวมถึงต้องมีวางแผนรองรับสังคมผู้สูงอายุที่จะเข้ามาอย่างรวดเร็ว ซึ่รัฐบาลเตรียมการไว้ทุกมิติอย่างเต็มที่แล้ว
ทั้งนี้ปัญหาอยู่ที่งบประมาณที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยสรุปแล้วเราใช้เงินเหล่านี้ในการดูแลคนทุกช่วงวัย ตั้งแต่อยู่ในครรภ์จนกระทั่งถึงผู้สูงอายุ ปีละ 800,000 กว่าล้านบาท เพราะฉะนั้นการจะเพิ่มอะไรขึ้นมาก็ต้องดูงบประมาณที่หาได้ ในอนาคตจะเพิ่มขึ้นได้อย่างไร เพื่อรองรับการใช้จ่ายเงินในส่วนนี้ นอกจากนั้นยังมีมาตรการช่วยเหลือด้านการเกษตรพืชหลัก 6 ชนิด เป็นจำนวนหลายแสนล้านบาท
สำหรับการใช้จ่ายงบประมาณปี 2565 ที่เหลืออยู่ และการจัดทำงบประมาณปี 2566 ได้ให้หลักการไปแล้วว่าจะทำอย่างไรที่จะนำพาประเทศผ่านปัฐหาอุปสรรคและวิกฤตการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศที่เราควบคุมไม่ได้ โดยใช้หลักการทำให้อยู่รอดปลอดภัย พอเพียง และนำไปสู่ความยั่งยืนในอนาคต ซึ่งได้สั่งการมอบหมาย ครม. ในวันนี้ว่าต้องระมัดระวังอย่างที่สุด ขณะที่รายได้เราลดลง แม้ว่าส่งออกจะดีขึ้นก็ตาม
...
ส่วนเรื่องการแก้ปัญหาระบบการเงินการคลัง ทางคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) รายงานชี้แจงมาแล้วว่าเรายังมีเสถียรภาพที่เข้มแข็งเพียงพออยู่ เพียงแต่งบประมาณที่นำมาใช้ในการบริหารประเทศอาจจะต้องลดลงบ้าง แน่นอนว่าต้องเกิดผลกระทบ จึงบอกไปว่าเราได้ใช้งบประมาณในการดูแลกลุ่มเปราะบาง หรือผู้มีรายได้น้อยจำนวนสูงมาก คงต้องย้อนไปดูผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลาง ขนาดใหญ่ด้วย เพราะเป็นแหล่งจ้างงาน เพื่อให้เกิดห่วงโซ่ไปด้วยกัน จึงต้องหามาตรการดูแลไว้ด้วย ไม่เช่นนั้นการจ้างงานจะลดลง รวมถึงการพัฒนาฝีมือแรงงานเพื่อให้มีรายได้สูงขึ้นในอนาคต
“ผมเป็นห่วงเรื่องการใช้จ่ายเงินของประชาชน วันนี้รายได้ก็ลดลง ขณะเดียวกันราคาสินค้าอุปโภคบริโภค พลังงาน ก็สูงขึ้น ทำให้รายได้ที่เขาได้แต่ละวันแต่ละเดือนไม่เพียงพอ เพราะใช้จ่ายไปในเรื่องของการใช้จ่ายดำรงชีวิตประจำวันมันเกือบถึง 50% ของรายได้เขาแล้ว หรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำไปเพราะรายได้ไม่มากนัก เพราะฉะนั้นก็ต้องอยู่ที่พฤติกรรมด้วย เราก็ต้องปรับเปลี่ยนไปด้วย เรามีเงินน้อยก็ต้องเลือกใช้เลือกกิน เลือกอะไรต่างๆ ให้เหมาะสมกับสถานะของเราในขณะนี้
ไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลไม่สนใจในเรื่องความเหลื่อมล้ำ เราพยายามจะยกระดับรายได้ตรงนี้ให้มากยิ่งขึ้น ก็พอดีมีเหตุการณ์เกิดขึ้นมาอีก หลายอย่างท่าทางจะดีขึ้นแล้ว แต่อย่างไรก็ตามรัฐบาลก็ไม่นิ่งนอนใจตรงนี้ วันนี้ก็ได้สั่งการให้มีมาตรการต่างๆ ทยอยออกมาเรื่อยๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็จำเป็นต้องหาแหล่งรายได้เพิ่มเติมขึ้นมาให้ได้ ก็ต้องเข้าใจตรงกัน”
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อไปว่า วันนี้มีมติสำคัญหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรการบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนจากสถานการณ์ราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้น ทั้งระยะเร่งด่วน ระยะยาว โดยมีความมุ่งหมายคือลดภาระคนที่ใช้บริการเหล่านี้ด้วย จะต้องไม่ขึ้นราคา จะดำเนินการเป็นระยะๆ โดยมาตรการวันนี้มีระยะเวลา 3 เดือน เพื่อช่วยลดค่าครองชีพ ทั้งผู้ประกอบการและประชาชนในภาคขนส่ง มอเตอร์ไซค์รับจ้าง แท็กซี่ ผู้มีรายได้น้อย กลุ่มแรงงาน ทั้งผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ผู้ประกันตนมาตราต่างๆ ตลอดจนการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ได้รับผลกระทบจากต้นทุกราคาสินค้า ซึ่งหลายอย่างมีผลกระทบ ไม่ใช่เฉพาะโควิด-19 แต่ยังมีสถานการณ์สงครามด้วย ทำให้ห่วงโซ่มูลค่าของโลกเปลี่ยนไปหหมด
ที่ผ่านมามีการสั่งการให้จ่ายเงินเข้าบัญชีโดยตรง ช่วยเหลือค่าครองชีพกลุ่มเปราะบาง 3 กลุ่ม คือ เบี้ยผู้สุงอายุ เงินอดหนุนเด็ก และเบี้ยผู้พิการ เป็นมาตรการที่ทำต่อเนื่อง เพื่อลดความลำบากให้อยู่รอดได้ ต่อไปเสริมให้เข้มแข็งไปสู่ความพอเพียง และทำอย่างไรให้ไม่ลำบากอีกต่อไปคือให้เกิดความยั่งยืน การรวมกลุ่มต่างๆ ไม่ว่าจะเกษตรกร ผู้ประกอบการร้านค้า สหกรณ์ วิสาหกิจชุมชน ต้องพัฒนาทุกวัน ซึ่งพยายามมาตลอด จะต้องสร้างความมั่นคงในชีวิตให้กับประชาชนโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยต้องใช้งบประมาณมากพอสมควร
อย่างไรก็ตาม ในเรื่องการค้าต่างประเทศ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า มีการเร่งรัดให้มีการเจรจากับหลายประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องได้หารือกัน จากข้อมูลที่เอกอัครราชทูตหลายประเทศ หรือผู้นำระดับสูง มาเข้าพบ ก็สนใจและพุ่งเป้ามาที่ประเทศไทย เพราะเห็นถึงศักยภาพ ทรัพยากร ความพร้อมหลายอย่าง ที่เรียกว่า Soft Power จึงอยากจะมาอยู่ มาลงทุน เป็นประเทศที่ปลอดภัย มีอาหารการกินดี มีธรรมชาติสวยงาม เหล่านี้เป็นสิ่งที่เป็นเป็นศักยภาพของไทย ต้องช่วยกันรักษาไว้ให้ได้.