สิ้นสุดเทศกาลแห่งความสุข ลองวีกเอนด์ฉลองมหาสงกรานต์ปีใหม่ไทย กลับคืนสู่ภาวะปกติ เผชิญโลกแห่งความวุ่นวาย
ก่อนอื่นเลย เป็นเหมือนวิถีปกติไปแล้วสำหรับสังคมไทยที่จะต้องนับศพ รายงานจำนวนผู้บาดเจ็บล้มตายจากอุบัติเหตุในการเดินทางช่วงเทศกาล
ตัวเลขมากพอๆกับภาวะสงครามในบางประเทศ ต่างชาติตะลึงก็แล้วกัน
คนตายหลักร้อยศพ บาดเจ็บนับพันราย
แทนที่จะได้ฉลองกันด้วยความสุข บางครอบครัวต้องจัดงานเศร้าเซ่นความสูญเสีย
และที่เพิ่มเข้ามาในห้วง 2-3 ปีหลัง ประชาชนคนไทยยังต้องลุ้นกับจำนวนคนติดเชื้อโรคระบาดโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นตามการเคลื่อนไหวย้ายพื้นที่ข้ามจังหวัดในช่วงเทศกาล
เป็น “วิถีปกติใหม่” หรือนิวนอร์มอล ที่แทรกเข้ามา
ตามการยืนยันอย่างเป็นทางการของทีมหมอกระทรวงสาธารณสุข นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย แถลงข่าวการป้องกันโควิด-19 ในการใช้บริการขนส่งสาธารณะช่วงกลับบ้านสงกรานต์ คาดการณ์หลังเทศกาลจะพบผู้ติดเชื้อมากขึ้น
ประมาณ 5 หมื่นถึง 1 แสนรายต่อวัน รวมการตรวจทั้ง ATK และ RT-PCR
โดยตัวเลขน่าจะเพิ่มความยากลำบากให้กับฝ่ายบริหารที่นำโดย “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม ในการรับมือกับโควิด-19 ที่กลับมาระอุ สวนทางกับไฟต์บังคับต้องเปิดเมืองเพื่อปรับสมดุลทางด้านเศรษฐกิจที่บักโกรกสาหัสเต็มที
...
“อดตาย” กับ “ติดโรคตาย” ไม่รู้จะให้น้ำหนักตรงไหนก่อนดี
ในขณะที่ผู้คนในสังคมส่วนใหญ่หมดอาลัย ตายอยาก เลิกหวังกับเชิงบริหารของผู้นำทหารอาชีพ อยากให้รีบเลือกตั้ง ได้รัฐบาลใหม่ของมือบริหารเศรษฐกิจอาชีพมากู้มหาวิกฤติโควิด
ฉุดประเทศไทยขึ้นจากก้นเหวที่มืดมนอนธการ
สวนทางกับอาการดันทุรังของ “บิ๊กตู่” และทีมแห่ พยายามลากเกมอำนาจต่อทุกวิถีทาง ท่ามกลางแรงเสียดทานไม่เฉพาะภายนอก แต่ภายในขุมอำนาจเดียวกันส่อหนักกว่า
คนกันเองนั่นแหละที่จ้องเสียบแทนอำนาจ
ลูกไหลเข้าเหลี่ยมบาทา เกิดมาชาติหนึ่ง ใครล่ะไม่อยากเป็นนายกฯ
อารมณ์แบบที่นายวันชัย สอนศิริ “ส.ว.ลากตั้ง” วิเคราะห์ดังๆออกอากาศเป็นนัยส่งสัญญาณเตือนผู้นำ หากมีการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรอบนี้ รัฐบาลไม่ได้กลัวข้อมูลอภิปรายฝ่ายค้าน
แต่วิตกกังวลเสียงสนับสนุนในสภาฯมากกว่า
เพราะสถานการณ์ตอนนี้นักการเมืองพยายามชิงความได้เปรียบกัน อาจใช้จังหวะอภิปรายนายกรัฐมนตรี สร้างสถานการณ์ “วีรบุรุษเรียกคะแนนเสียง”
ทั้งพรรคร่วมรัฐบาลประกาศถอนตัว หรือรวมหัวโหวตไม่ไว้วางใจผู้นำ
นายวันชัยยังผูกโยงดวงเมืองด้วยว่า เป็นจังหวะต้องเปลี่ยนแปลงตัวผู้มีอำนาจ แต่ไม่ถึงขั้นรัฐประหาร การเปลี่ยนแปลงระดับผู้นำเกิดขึ้นได้ทั้งยุบสภาหรือลาออก
จับอาการ “ส.ว.ลากตั้ง” ฐานรองอำนาจที่ชัวร์ๆ ชักจะไม่ชัวร์
แม้แต่ตัวผู้นำอย่าง พล.อ.ประยุทธ์เอง ก็เริ่มหวั่นไหว จับน้ำเสียงได้จากที่ตอบคำถามนักข่าวว่าด้วยปรากฏการณ์ที่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ขึ้นบิลบอร์ดทั่วบ้านทั่วเมือง อวยพรประชาชนห้วงเทศกาลสงกรานต์
อารมณ์เหมือนนักการเมืองอาชีพหาเสียง ต้องการเป็นนายกรัฐมนตรีเอง
“ก็ท่านยืนยันร้อยครั้งแล้วว่าท่านไม่เป็น”
“น้องเล็ก” ต้องทวนคำมั่นจากปากของ “พี่ใหญ่” ดักทางกันเป็นเชิงมัดคอ พล.อ.ประวิตรบอกกับตนเองว่า จะสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีตลอดไป
“ไม่เคยสงสัยในเรื่องนี้ ไม่มีอะไรที่ทำให้ผมแตกคอกันได้ทั้งสิ้น”
นับดู นี่อาจจะเป็นครั้งที่ร้อยแล้ว ที่ “บิ๊กตู่” ต้องการันตีความสัมพันธ์กับ “บิ๊กป้อม”
นั่นก็เพราะโดยพฤติการณ์กับคำพูด มันย้อนแย้งกันชัดเจนมากขึ้นทุกที ไล่มาตั้งแต่การปล่อย “กบฏผู้กอง” เปิดเกมคว่ำกระดาน “บิ๊กตู่” ต้องกู้เกม วิ่งแจกกล้วยกันกลางสภา
ได้ปาฏิหาริย์ “คอแดง” มาช่วยไว้ได้ในนาทีสุดท้าย
แต่ “พี่ใหญ่” ก็ยังปล่อยให้ “กบฏผู้กอง” อยู่เป็นหอกข้างแคร่ในค่าย พปชร.มาอีกพักใหญ่ ก่อนจะเล่นปาหี่ ขับ “ก๊วนกบฏผู้กอง” ออกจากพรรคพลังประชารัฐ ไปสุมหัวกันที่พรรคเศรษฐกิจไทยโดยไม่ขาดสมาชิกภาพ ส.ส.
ปล่อยเสือเข้าป่า เพิ่มฤทธิ์เดชในการเป็นหอกข้างแคร่ทิ่มแทง “น้องเล็ก”
และตอกย้ำกันชัดๆอีกช็อตในการประชุมใหญ่ค่ายพลังประชารัฐ มีการแต่งตั้ง 2 นายพลสายตรงบ้านป่ารอยต่อฯเข้ามาเป็นคณะกรรมการบริหารพรรค พปชร. ทดแทนตำแหน่งว่าง
นั่นเท่ากับล็อกอำนาจการบริหารจัดพรรคอย่างเบ็ดเสร็จ พล.อ.ประวิตร ปิดเกม ขวางทาง พล.อ.ประยุทธ์ เข้ายึดฐานบัญชาการค่ายพลังประชารัฐ
ทำให้สายตรงทีม “เสธ.ตึกไทยฯ” ต้องไปตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติเป็นรังสำรองของ “บิ๊กตู่”
สะท้อนความลักลั่น ต่างคนต่างเดิน สร้างดาวคนละดวง
แล้วอยู่ๆวันดีคืนดีก็มีป้ายบิลบอร์ดโชว์หน้า พล.อ.ประวิตร เดี่ยวๆโดดๆ ประกอบคำอวยพรเทศกาลสงกรานต์ ติดตามเสาไฟฟ้าข้างถนนเกลื่อนไปทั่วทุกเมือง
ตามท้องเรื่องมันชัดโดยพฤติการณ์ที่ “พี่ใหญ่” ถูกเชิดขึ้นมาประชัน
โผล่ออกจากฉากหลัง เบียดขึ้นมาอยู่เบื้องหน้า
ต่อให้ยืนยันเป็นครั้งที่ร้อยครั้งที่พัน ว่าพี่น้อง 3 ป. ยังรักกันปานจะกลืน จนกว่าจะตายจากกัน
มันก็ไม่มีทางที่ผู้คนจะเชื่ออย่างสนิทใจ
แม้แต่ตัว พล.อ.ประยุทธ์เอง ลึกๆก็ไม่เชื่อใจ “พี่ใหญ่” ได้เต็มร้อยเหมือนเก่า ในอารมณ์แบบที่นักข่าวซักไซ้ไล่ต้อน เชื่อมั่นในตัว “พี่ใหญ่” ได้แค่ไหน เพราะเหมือนคนรอบข้างต้องการให้ พล.อ.ประวิตร เป็นนายกรัฐมนตรี
สื่อมวลชนมองทะลุ เห็น “ปัจจัยตัวแปร” แทรกเข้ามาในความสัมพันธ์
อ่านทาง “พี่ใหญ่” ก็พร้อมเลยตามเลยตามสภาพการณ์มันจึงอยู่ในจุดที่ “ตอกลิ่ม” ขยายรอยร้าวให้ลึกไปกันใหญ่ ตามเหลี่ยมแบบที่อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ได้ที “เสี้ยม” เขาควายให้ชนกัน
ฟันธง “บิ๊กตู่” กับ “บิ๊กป้อม” กินเกาเหลากันคนละร้าน
โยงปรากฏการณ์ป้ายหาเสียงสงกรานต์ของ พล.อ.ประวิตร กับปมคลิปหวยฉาวๆของ “แรมโบ้” นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกฯ
เป็นผลจาก ลิ่วล้อ “พี่ใหญ่” กับลูกหาบ “น้องเล็ก”ล่อกันเอง
งานนี้เถียงไม่ออก เพราะตามสภาพการณ์มันบ่งบอกด้วยอาการขบเหลี่ยมเหยียบตาปลากันภายในทีมบ้านป่ารอยต่อฯกับทีม เสธ.ตึกไทยฯ ฉวยจังหวะเจาะยางกันเอง
ฝ่ายหนึ่งกดปุ่มไล่บี้หวยออนไลน์ทุบบ่อน้ำมันคนโตเมืองพะเยา เลยโดนเอาคืนด้วยคลิปเสียงฉาว พฤติการณ์เน่า เรื่องโควตาลอตเตอรี่ 15 ล้าน โยงทุนเลือกตั้ง
มีแต่คนในฝ่ายเดียวกันเท่านั้นที่ลอบ “วางยา” เข้าถึงเรื่องลับๆล่อๆได้
นี่แค่โฟกัสศึกภายในทีมอำนาจทหารเฒ่า 3 ป. พี่น้องนอกไส้ไม่สนิทใจกันเหมือนเก่า ยังไม่ต้องพูดถึงพฤติการณ์ “เพื่อนกิน” ในหมู่พรรคร่วมรัฐบาลที่เกาะเกี่ยวกันด้วยผลประโยชน์บางๆ
นับวันยิ่งนับถอยหลัง วงแตก พร้อมแยกทางใครทางมัน
แกะรอยปมร้อนๆเรื่องเดียวกัน ว่าด้วยป้ายหาเสียงสงกรานต์ของ “บิ๊กป้อม” มันยังลามไปถึงพฤติการณ์ “ตบหน้า” กันแรงๆ แสดงถึงอาการมองไม่เห็นหัว
กับภาพที่กรมทางหลวงสั่งไล่เก็บป้าย ยึดบิลบอร์ดหาเสียงสงกรานต์ของ พล.อ.ประวิตร ที่ติดอยู่ตามเสาไฟฟ้าข้างถนน อ้างเหตุบดบังทัศนียภาพ โดยไม่ได้รับอนุญาต
เจ้าหน้าที่กิน “ดีหมี” หรือไม่ก็กำลังเคลิ้มจากฤทธิ์กัญชา
เอาเป็นว่า ถ้าไม่ได้รับคำสั่งจากนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย มีหรือที่ข้าราชการจะกล้ารื้อ “ป้ายหาเสียงสงกรานต์” ของ “บิ๊กบราเธอร์”
“พี่ใหญ่” โผล่ออกหน้าชัดๆ เลยเจอเตะตัดขาทันที.
“ทีมการเมือง”