“จุรินทร์” เรียกประชุมประเมินสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน สั่งติดตามใกล้ชิด ยังไม่กระทบนำเข้า-ส่งออกไทย ห่วงราคาน้ำมันหลังแตะ 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล หวั่นกระทบขนส่ง-ราคาสินค้า

เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 25 ก.พ. 2565 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ประชุมสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน พร้อมด้วย นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายกีรติ รัชโน รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ นางอารดา เฟื่องทอง รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงมอสโก ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์

นายจุรินทร์ กล่าวว่า วันนี้มีการประชุมเพื่อประเมินสถานการณ์ในกรณีรัสเซียกับยูเครน โดยติดตามทั้งมาตรการการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจของ 6 ประเทศ ว่าจะมีผลกระทบอย่างไรต่อการนำเข้า-ส่งออกของไทย รวมทั้งการประเมินสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลก ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อค่าขนส่งสินค้า ตัวเลขเงินเฟ้อ รวมทั้งราคาสินค้าในประเทศ ได้เชิญทูตพาณิชย์จากมอสโกเข้าร่วมด้วย พบว่าขณะนี้ยังไม่มีผลกระทบต่อการนำเข้าและส่งออกของไทย แต่สำหรับราคาน้ำมันมีราคาสูงขึ้นแตะ 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลแล้ว ยังไม่สามารถประเมินได้ว่าราคาจะขึ้นสูงกว่านี้ไปอีกหรือไม่

“วันนี้ได้สั่งการให้ปลัดกระทรวงพาณิชย์กับกรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในส่วนของกระทรวงพาณิชย์หารือร่วมกันกับภาคเอกชน และติดตามสถานการณ์ รวมทั้งประเมินสถานการณ์ร่วมกันอย่างใกล้ชิด ถ้าพบปัญหาที่จำเป็นต้องแก้ไขเร่งด่วนจะได้แก้ปัญหาร่วมกันในทันที และให้รายงานสถานการณ์และการประเมินสถานการณ์ให้ทราบทุกวัน จากการประเมินเบื้องต้นมีทั้งทางบวกและทางลบ สถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงคือเรื่องราคาน้ำมัน เพราะจะมีผลต่อต้นทุนการขนส่งและต้นทุนการผลิตสินค้า รวมทั้งราคาสินค้าต่อไปในอนาคตได้ ขณะนี้ยังไม่ขอลงลึกเพราะไม่อยากประเมินสถานการณ์ในด้านลบทั้งหมดไปก่อนล่วงหน้า”

...

สำหรับด้านบวก เช่น สินค้าบางอย่างที่ประเทศไทยมีศักยภาพและสามารถเข้าไปทดแทนตลาดโลกที่เป็นตลาดเดิมของรัสเซียหรือยูเครนได้ หากเกิดสงครามที่ยืดเยื้อ เช่น ผลิตภัณฑ์ยาง รัสเซียส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา ปีละ 170 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 5,500 ล้านบาท) ต่อปี ขณะที่ไทยก็ส่งสินค้าดังกล่าวนี้ไปสหรัฐฯ เช่นกัน โดยมีมูลค่าประมาณ 5,000 กว่าล้านบาท ไทยมีศักยภาพที่จะเข้าไปทดแทนตลาดยางของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดเดิมของรัสเซียได้ในช่วงที่เกิดภาวะขัดแย้ง และยังมีสินค้าประมงที่รัสเซียส่งออกไปยังสหภาพยุโรปประมาณปีละ 50 ล้านเหรียญสหรัฐ และไทยเป็นประเทศหนึ่งที่มีศักยภาพสามารถทดแทนตลาดสินค้าประมงในสหราชอาณาจักรหรืออังกฤษ แทนที่รัสเซียได้ในช่วงที่เกิดการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ ปัจจุบันไทยส่งออกสินค้าประมงไปยังสหราชอาณาจักร ปีละประมาณ 1,600 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ยังไม่สามารถประเมินสถานการณ์ได้ครบถ้วนทั้งหมด เพราะเพิ่งเกิดเหตุการณ์เพียง 1-2 วัน โดยจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป และมาตรการทั้งหมดของกระทรวงพาณิชย์ร่วมกับเอกชนจะมีความยืดหยุ่นในการทำให้การนำเข้าส่งออกของไทย ยังมีเสถียรภาพและได้รับประโยชน์สูงสุดต่อไป

ขณะที่กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ รายงานว่า เบื้องต้นรัสเซียเป็นคู่ค้ารายสำคัญอันดับท่ี 30 ของไทย ส่วนยูเครนเป็นคู่ค้ารายสำคัญอันดับที่ 63 ของไทย โดยในปี 2564 การค้าระหว่างไทย-รัสเซีย มีมูลค่า 88,167 ล้านบาท ขยายตัว 14.56% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยไทยส่งออกไปยังรัสเซีย มูลค่า 32,508 ล้านบาท ขยายตัว 44.90% และนำเข้าจากรัสเซีย มูลค่า 55,660 ล้านบาท ขยายตัว 2.07% สินค้าที่ไทยส่งออกไปยังรัสเซีย 5 อันดับแรก คือ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (10,162 ล้านบาท) ผลิตภัณฑ์ยาง (3,379 ล้านบาท) เครื่องจักรกลและ ส่วนประกอบของเครื่องจักรกล (1,706.9 ล้านบาท) ผลไม้กระป๋องและแปรรูป (1,455.6 ล้านบาท) เม็ดพลาสติก (1,380.7 ล้านบาท) เป็นต้น

ส่วนสินค้าส่งออกที่มีการขยายตัวสูงในหมวดสินค้าเกษตรและอาหาร ได้แก่ ยางพารา สิ่งปรุงรส อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ผลไม้สดแช่เย็น แช่แข็งและแห้ง ผลิตภัณฑ์ มันสำปะหลัง สินค้าที่ไทยนำเข้าจากรัสเซีย 5 อันดับแรก คือ นำ้มันดิบ (25,958.9 ล้านบาท) ปุ๋ย และยากำจัดศัตรูพืชและสัตว์ (5,667.6 ล้านบาท) เหล็ก เหล็กกล้า และผลิตภัณฑ์ (5,568.4 ล้านบาท) สินแร่โลหะอื่นๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ (5,307.4 ล้านบาท) เครื่องบิน เครื่องร่อน อุปกรณ์การบินและส่วนประกอบ (3,350.3 ล้านบาท)

ทางด้านยูเครน ในปี 2564 การค้าระหว่างไทย-ยูเครน มีมูลค่า 12,428 ล้านบาท ขยายตัว 28.67% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งไทยส่งออกไปยังยูเครน มูลค่า 4,228 ล้านบาท ขยายตัว 37.36% และนำเข้าจากยูเครน มูลค่า 8,199 ล้านบาท ขยายตัว 24.60% สินค้าที่ไทยส่งออกไปยังยูเครน 5 อันดับแรก คือ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (1,037.1 ล้านบาท) ผลิตภัณฑ์ยาง (671.7 ล้านบาท) ผลไม้กระป๋อง และแปรรูป (542.5 ล้านบาท) อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป (285.3 ล้านบาท) เม็ดพลาสติก (264.3 ล้านบาท) สินค้าไทยนำเข้าจากยูเครน 5 อันดับ คือ พืชและผลิตภัณฑ์จากพืช (4,419 ล้านบาท) เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ (3,013.6 ล้านบาท) ไม้ซุง ไม้แปรรูปและผลิตภัณฑ์ (133 ล้านบาท) สินแร่โลหะอื่นๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ (112.5 ล้านบาท) แร่และผลิตภัณฑ์จากแร่ (112.3 ล้านบาท).