“พิชัย” ห่วง ราคาน้ำมันพุ่งและแพงนาน “บิ๊กตู่” คุมเงินเฟ้อไม่อยู่ ประชาชนจะเดือดร้อนหนัก ชี้ สมาพันธ์ขนส่งประท้วงสะท้อนเสียงประชาชนทั้งประเทศ จี้ เร่งลดภาษีสรรพสามิตน้ำมัน-คุมราคาสินค้า

วันที่ 8 ก.พ. นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทยด้านเศรษฐกิจ อดีต รมว.พลังงาน กล่าวว่า เงินเฟ้อในเดือนมกราคมพุ่งขึ้นถึง 3.23% เป็นไปตามคำเตือนของคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย และยังมีแนวโน้มที่เงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งน่าห่วงว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะคุมเงินเฟ้อไม่อยู่ ซึ่งจะทำให้ประชาชนเดือดร้อนกับภาวะข้าวของแพง หรือ “แพงทั้งแผ่นดิน” ที่จะรุนแรงมากขึ้น โดยสาเหตุเงินเฟ้อ มาจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น และราคาน้ำมันยังมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นไปอีก โดยล่าสุด ราคาน้ำมันได้พุ่งไปทะลุ 93$ ต่อบาร์เรลแล้ว และคงจะทะลุ 100$ ต่อบาร์เรลในไม่ช้านี้ โดยการคาดหมายราคาน้ำมันของต่างประเทศ ราคาอาจพุ่งขึ้นถึง 120$-150$ ต่อบาร์เรลได้ จากสาเหตุความผันผวนและความไม่สงบในประเทศที่ผลิตน้ำมันหลายแห่ง โดยเฉพาะในตะวันออกกลาง รวมถึงการที่รัสเซีย อาจจะบุกยูเครนและได้ส่งทหารรัสเซียกว่า 120,000 คน ตรึงอยู่พรมแดนยูเครนแล้ว ซึ่งหากรัสเซียบุกยูเครนจริง คงมีผลทำให้ราคาน้ำมันและราคาก๊าซพุ่งขึ้นอีกมาก และเป็นไปได้สูงที่ราคาน้ำมันจะพุ่งสูงตลอดทั้งปีในปีนี้ ไม่ได้อยู่ในระดับ 63$ -73$ ตามที่รัฐบาลคาดการณ์กันไว้

นายพิชัย กล่าวต่อว่า ไม่ช้าก็เร็วพลเอกประยุทธ์ จะต้องลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลตามที่ผมได้เสนอไว้แต่แรก แต่พลเอกประยุทธ์ กลับคิดไม่ได้และพยายามถ่วงเวลา ซึ่งหากลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลแต่แรก ราคาสินค้าก็จะไม่ขึ้นสูงถึงขนาดนี้ โดยล่าสุด นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง ยังคงถ่วงเวลารอให้กองทุนน้ำมันกู้เงินจนเต็มวงเงินก่อน ถึงจะลดภาษีสรรพสามิตน่าจะเป็นแนวทางที่ผิด เพราะหากราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นไปอีกตามแนวโน้มราคาน้ำมันโลก รัฐบาลยังไงก็ต้องลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน และ หากราคาน้ำมันยังขึ้นต่อไม่หยุด พลเอกประยุทธ์ จะไม่มีเครื่องมืออื่นในการพยุงราคาน้ำมันอีกแล้ว เนื่องจากกองทุนน้ำมันกู้เงินจนเต็มวงเงินแล้ว ปัญหาก็จะมีมากขึ้นจน พลเอกประยุทธ์ หมดปัญญาที่จะแก้ไขได้ ประชาชนจะเดือดร้อนกันอย่างมาก อยากให้พลเอกประยุทธ์ ได้เปิดใจรับฟังความเห็นของคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย เพราะตั้งแต่แนะนำมาทุกเรื่องยังไม่เคยผิด แต่พลเอกประยุทธ์ดื้อ ไม่มีความรู้ แต่ก็ไม่ยอมรับฟังและไม่ยอมทำ พลเอกประยุทธ์ จึงหลงทางและแก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้เลยมาตลอด แถมยังมั่วโอนเงินจากกองทุนส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานไป 20,087.42 ล้านบาท แล้วยังไม่ยอมคืนมา และไม่ยอมตอบคำถามนี้ด้วย ทั้งที่เงินนี้เป็นของประชาชนที่เก็บจากการใช้น้ำมันและไม่ใช่ภาษี ซึ่งควรคืนเงินมาช่วยสนับสนุนราคาน้ำมันในช่วงนี้

...

อดีต รมว.พลังงาน กล่าวอีกว่า ดังนั้นการที่สมาพันธ์ขนส่งฯ ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากราคาน้ำมันที่แพง จะออกมาประท้วงรัฐบาลอีกครั้งในวันนี้ หลังจากประท้วงมาหลายครั้งแล้ว จึงเป็นเรื่องที่ถูกต้องและน่าสนับสนุนเพราะรัฐบาลดำเนินการผิดพลาดมาตลอด การที่พลเอกประยุทธ์ไปต่อว่าสมาพันธ์ขนส่งฯ ที่จะออกมาประท้วงว่า “เป็นคนกลุ่มเดียวที่ได้รับผลกระทบหรือ” น่าจะไม่เข้าใจสถานการณ์ ทั้งนี้ เพราะคนทั้งประเทศเดือดร้อนกันมาก สมาพันธ์ขนส่งฯจึงออกมาเป็นปากเสียงแทนประชาชนทั้งประเทศ เพราะหากสมาพันธ์ขนส่งฯ ต้องขึ้นราคาค่าขนส่งตามคำท้าทายของนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกฯ และ รมว.พลังงาน ก็จะยิ่งทำให้ราคาสินค้าต่างๆ ต้องปรับขึ้นตามไปด้วย จากราคาค่าขนส่งที่แพงขึ้น และราคาน้ำมันยังเป็นต้นทุนการผลิตของสินค้าแทบทุกชนิด หากรัฐบาลบริหารจัดการไม่ได้ ประชาชนจะเดือดร้อนกันอีกมาก และปัญหาน้ำมันแพงและปัญหาเงินเฟ้อจะทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในปีนี้ต่ำลงไม่ถึง 4% ตามที่รัฐบาลขายฝันไว้แน่

นายพิชัย ระบุ นอกจากราคาน้ำมันจะแพงขึ้น ซ้ำเติมเงินเฟ้อที่จะเพิ่มขึ้นแล้ว ปัญหาเงินเฟ้อจะทำให้แบงก์ชาติต้องขึ้นดอกเบี้ย ตามทิศทางดอกเบี้ยในต่างประเทศที่กำลังจะเพิ่มขึ้น ซึ่งประเทศไทยก็จะต้องขึ้นดอกเบี้ยตาม เพื่อป้องกันเงินไหลออก โดยจะยิ่งซ้ำเติมภาวะเศรษฐกิจไทยที่ย่ำแย่อยู่แล้วให้แย่หนักขึ้น หนี้เสียจะยิ่งเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้เงินเฟ้อในต่างประเทศเกิดจากเศรษฐกิจโลกที่ฟื้น รายได้ของประชาชนของเขาเพิ่มขึ้น จับจ่ายใช้จ่ายกันมากขึ้น แต่ไทยกลับตรงกันข้ามรายได้ของคนไทยกลับลดลง เพราะรัฐบาลไม่สามารถฟื้นเศรษฐกิจได้ ผลเลยกลายเป็น “แพงทั้งแผ่นดิน และ จนทั้งแผ่นดิน” เพราะรัฐบาลต้องแจกบัตรคนจนเพิ่มขึ้นถึง 20 ล้านคน หรือ เกือบ 1 ใน 3 ของประชากร และน่าห่วงว่าจะมีคนจนเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ ถ้าพลเอกประยุทธ์ยังจะบริหารประเทศอยู่

"ดังนั้นแนวทางเร่งด่วนที่พลเอกประยุทธ์ต้องรีบดำเนินการ คือ การลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลโดยเร็วที่สุด เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน อีกทั้งต้องควบคุมราคาสินค้าให้ได้ผล ก่อนที่ประชาชนจะเดือดร้อนกันมากกว่านี้ แต่ที่สำคัญที่สุดคือการต้องเปลี่ยนผู้นำที่ขาดความรู้ความสามารถ แต่ยังยึดติดในอำนาจ ซึ่งตรงข้ามกับที่พูดไว้เองว่าไม่ยึดติด การที่สภาล่มบ่อยๆ เป็นสัญญาณชัดเจนว่าผู้แทนราษฎรไม่เห็นด้วยที่พลเอกประยุทธ์จะอยู่ต่อไปแล้ว ดังนั้นการที่จะต้องให้พลเอกประยุทธ์ออกจากตำแหน่งจึงเป็นความสำคัญสูงสุดเพื่อประเทศไทยจะได้แก้ปัญหาและเดินหน้าต่อไปได้" นายพิชัย กล่าว...