เปิดศักราชปีขาล เสือดุ เสือหมอบ เสือเผ่น ภายใต้เงื่อนไขสถานการณ์ ข่าวดี ข่าวร้าย ลุ้นพลิกคว่ำพลิกหงาย
ข่าวร้าย “โอมิครอน”โควิดกลายพันธุ์ลามระบาดครองโลกแทนสายพันธุ์เก่า และประเทศไทยเองก็น่าจะหนีไม่พ้นจากตัวเลขคนติดเชื้อที่เพิ่มขึ้น คลัสเตอร์กระจายไปหลายจังหวัดทั่วประเทศ
แต่ข่าวดี ผู้ป่วยจากสายพันธุ์ใหม่อาการไม่หนัก จากการยืนยันโดยสำนักความมั่นคงทางสุขภาพประเทศอังกฤษ เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลแค่ 1 ใน 3 ของสายพันธุ์เดลตา ความรุนแรงเบากว่า ไม่ทำคนตายเป็นเบือ เชื่อว่าจะทำให้โควิด-19 ลดอันตรายลง
เป็นข่าวดีที่แทรกมากับข่าวร้าย แต่ก็เป็นอะไรที่ยังวางใจไม่ได้ โดยเฉพาะประเทศไทยที่เพิ่งผ่านการฉลองเทศกาลปีใหม่กันแบบเมามัน การ์ดตก ลืมตาย อันตรายกับเชื้อที่แฝงอยู่ในทุกวงสังสรรค์
นั่นคือเหตุที่รัฐบาลต้องประกาศให้เวิร์กฟรอมโฮมต่อหลังปีใหม่อีก 7-14 วัน เพื่อเป็นหลักประกันความปลอดภัย ไม่ให้เชื้อแพร่กระจาย
เพราะหากระบาดหนัก มันหนีไม่พ้นต้องล็อกดาวน์ ปิดประเทศกันอีกรอบ กดทับเศรษฐกิจที่กรอบยิ่งกว่า “ข้าวเกรียบว่าว” ตามตัวเลขที่กระทรวงการคลังตัวเลข
หนี้สาธารณะของประเทศไทยช่วงสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2564 จ่อใกล้ 10 ล้านล้านบาท เกือบ 60 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี ทะลุกรอบ “เพดานเก่า” ทะลักสูงกว่ารัฐบาลยุคไหน
ในสภาพที่ฝ่ายบริหาร รัฐบาลภายใต้การนำของ“ผู้นำทหารอาชีพ” อย่าง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม ก็ยอบแยบเต็มที
จากภาวะสนิมเนื้อในทางการเมือง สภาล่มแล้วล่มอีก พรรคร่วมรัฐบาลซัดปากกันเองในสนามเลือกตั้งซ่อม ภายในค่ายพลังประชารัฐก็จ้องรัฐประหาร ยึดอำนาจการคุมพรรค หักกันไม่ลง ศึกกบฏไม่จบง่ายๆ
...
แค่เอาตัวรอดจากเรือเหล็กอับปางยังเหนื่อย ก็ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเนื้องานบริหาร รัฐบาล “ยื้อยุทธ์” ผู้นำ “ชำรุดยุทธ์โทรม” ที่สื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาลตั้งให้อย่าง “แสบทรวง” นั่นแหละสะท้อนภาพได้ชัดเจนสุด แบบที่เถียงกันไม่ออก
สภาพนี้คงได้แค่รอเวลา อยู่ที่ว่าจะอึดลากกันไปได้นานแค่ไหน
ตามอาการแบบที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ฝ่ายกฎหมาย ที่ร่ำๆอยากไขก๊อกกลับไปเลี้ยงหลานที่บ้านเต็มแก่ ชิงส่งสัญญาณเป็นนัยเปิดโปรแกรมล่วงหน้า คิวเข้าคูหาเลือกตั้งที่รัฐบาลล็อกปฏิทินไว้ ไล่จากสนามเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ต่อด้วยเลือกนายกเมืองพัทยา และตบท้ายด้วยการเลือกตั้งใหญ่
ออกแนวเจาะรูระบาย ลดแรงกดดันที่กดทับทีมอำนาจ 3 ป.
แต่ไม่ชัดว่าจะเป็น “ข่าวดี” หรือ “ข่าวร้าย” กับมุมของฝ่ายกฎหมายสภาผู้แทนราษฎรฟันธง วาระ 8 ปี การดำรงตำแหน่งนายกฯของ “บิ๊กตู่” เริ่มนับตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2562 นั่นหมายถึงสิ่งที่ “กองแช่ง” ตั้งหน้าตั้งตาลุ้นให้ถึงเดือนสิงหาคมปีนี้ เป็นจุดสิ้นสุดวาระ 8 ปี พล.อ.ประยุทธ์ ต้องหยุดตามกติการัฐธรรมนูญ เท่ากับฟาวล์ “บิ๊กตู่” ยังไปต่อได้อีกยาวๆถึงปี 2570
แถมด้วย “พี่ใหญ่” อย่าง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ยังประกาศลั่น ถ้าสังขารไหว ก็พร้อมอยู่โยงช่วย “น้องเล็ก” จนครบกำหนด 8 ปี
ข่าวดีของขบวนแห่ “ลุงตู่” แต่ข่าวร้ายของม็อบไล่
ตามสภาพที่ประชาชนคนไทย คนกลางๆต่าง “เลิ่กลั่ก” จะเอายังไงกับภาวะ “ไฟต์บังคับ” เบื่อทีมอำนาจ 3 ป. ก็ส่อต่อโปรโมชันยาว จะหันไปเทให้พรรคเพื่อไทย เปิดทางทีมนายใหญ่ดูไบแลนด์สไลด์ก็หนีไม่พ้นวังวนเก่า
ไม่เอา “ประยุทธ์” ก็เจอ “ทักษิณ” กลัวผี “ทักษิณ” ก็เจอ “ประยุทธ์”
ณ จุดที่ประเทศไทยบักโกรกหนักจากโรคระบาดโควิด มหาวิกฤติเศรษฐกิจคือโจทย์โคตรโหดหิน ตกอยู่เกือบก้นเหว ถ้าซ้ำด้วยสภาพการเมืองเน่า เชื้อไฟความแตกแยก ม็อบลามแข่งกับโรคระบาด
คงได้เห็นคำว่า “ล่มจม” กันทั้งประเทศ
และนั่นก็ปฏิเสธไม่ได้กับผลโพลที่ตรงกับสภาพความเป็นจริงมากถึงมากที่สุด ตามตัวเลขที่ “นิด้าโพล” เปิดผลสำรวจครั้งที่ 4 ช่วงปลายปีที่ผ่านมา พบว่า ประชาชนยังมองหานายกรัฐมนตรีที่เหมาะสมไม่ได้ มากเป็นอันดับ 1 ถึงร้อยละ 35.54 สอดคล้องกับตัวเลขประชาชนที่ยังไม่สนับสนุนพรรคการเมืองใดเลย ร้อยละ 37.14
แน่นอน ในทางทฤษฎีนี่อาจเป็น “จุดเปลี่ยน” ที่มีความเป็นไปได้ทางปฏิบัติ
โอกาสสอดแทรกของ “พรรคทางเลือก” โดยเฉพาะทีมงานบริหารอาชีพที่สามารถกระตุ้นความหวังของประชาชน คนกลางๆได้เห็นศักยภาพความเป็นไปได้ในการฟื้นเศรษฐกิจจากมหาวิกฤติโควิด ประคองวิกฤติปากท้อง และไม่ติดหล่มเงื่อนปมความขัดแย้งทางการเมือง
ตามท้องเรื่อง ถือว่า “เข้าทาง” โฆษณาโหมโรงค่ายใหม่ของทีม 4 กุมาร ภายใต้เงา “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” ที่นายอุตตม สาวนายน อดีตขุนคลัง นัดตัดริบบิ้นเปิดป้ายชื่อ แต่หลบสถานการณ์ “โอมิครอน”ก่อน
ลุ้น “ช้อนแต้ม” คนหนีไฟต์บังคับ ได้ถูกจังหวะถูกเวลา.
ทีมข่าวการเมือง รายงาน