"สาธิต" รมช.สธ.ชี้ หลังปีใหม่ 2 สัปดาห์ ได้เห็นตัวเลขจริง "โอมิครอน" หลังคนอั้นมานาน เตรียมมาตรการ "เวิร์ก ฟอร์ม โฮม" รับมือ เชื่อ ไม่หนัก ไม่ซ้ำรอยสงกรานต์ปี 64
วันที่ 28 ธ.ค. 64 เมื่อเวลา 08.40 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงข้อเสนอใน ครม. ถึงการควบคุมสถานการณ์โควิค-19 ในช่วงเทศกาลปีใหม่ ว่า คาดว่า นายกรัฐมนตรี จะนำข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข มาหารือในที่ประชุม ครม. เพราะเราได้มีการเสนอฉากทัศน์และจำลองข้อมูลต่างๆ ขณะเดียวกันสาธารณสุขจะขอความร่วมมือกับประชาชน ให้ปฏิบัติตามมาตรการในการควบคุมโควิด เพราะหากทุกคนปฏิบัติตามสถานการณ์ก็จะเป็นไปตามฉากทัศน์ที่เราจำลองไว้
อย่างไรก็ตาม แม้สายพันธุ์โอมิครอนจะมีอาการไม่รุนแรง ความรู้สึกในภาพรวมแต่เราจะไม่ให้กระทบกับความเชื่อมั่นและความรู้สึกประชาชนในภาพรวม ถ้าตัวเลขผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตน้อยที่สุด ก็จะสร้างความเชื่อมั่นในการเปิดประเทศได้
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า หลังปีใหม่ เราจะมีมาตรการเรื่องเวิร์ก ฟอร์ม โฮม อย่างไร นายสาธิต กล่าวว่า เรามีมาตรการอยู่แล้ว และวันที่ 4 ม.ค. 65 เราจะนำมาตรการมาประเมินอีกครั้ง เพราะเชื่อว่า ช่วงเทศกาลปีใหม่เราจะหลีกเลี่ยงการแพร่ระบาดของเชื้อโอมิครอน ได้ยากขึ้น ดังนั้นหลังเทศกาลปีใหม่ หากใช้มาตรการทำงานที่บ้านก็จะลดการแพร่ระบาดได้ง่ายขึ้น ซึ่งในส่วนของข้าราชการเราจะมีการให้เวิร์ก ฟอร์ม โฮม มากทึ่สุด ในส่วนของภาคเอกชนเราได้ขอความร่วมมือไปแล้ว ถ้าช่วยปฏิบัติตามก็จะเป็นประโยชน์
เมื่อถามว่า กำหนดระยะเวลาในการ เวิร์ก ฟอร์ม โฮม ไว้ประมาณเท่าไร นายสาธิต กล่าวว่า หลังเทศกาลปีใหม่ไม่เกิน 2 สัปดาห์เราจะทราบตัวเลขผู้ติดเชื้อ จะพบตัวเลขฉากทัศน์ที่เกิดขึ้น หากเราร่วมด้วยช่วยกันดี หลังปีใหม่ประมาณ 10 วัน ตัวเลขไม่ก้าวกระโดด มาตรการก็จะเบาลง
...
เมื่อถามต่อว่า การปฏิบัติตัวของคนไทยหลังเทศกาลปีใหม่ ควรอยู่ในระดับไหน นายสาธิต กล่าวว่า ความจริงจะปรากฏในช่วงสัปดาห์หน้า เพราะพฤติกรรมของคนที่อั้นมานาน แต่ตัวเลขที่แสดงในปัจจุบันยังไม่พบ ตนคิดว่าช่วงหลังปีใหม่ 1-2 วันจะทราบ เพราะที่ผ่านมามาตรการที่ออกมาถูกละเลยไปสมควร
เมื่อถามว่า มองว่า เหตุการณ์จะไม่ซ้ำรอยเหมือนช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีที่ผ่านมา ใช่หรือไม่ นายสาธิต กล่าวว่า แม้จะมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นแต่จะไม่เป็นปัญหาเหมือนครั้งหลังเดือนเมษายนเมื่อปีที่แล้ว เพราะอาการไม่มีความรุนแรง ในขณะเดียวกัน เราก็ได้เตรียมพร้อมในเรื่องการฉีดวัคซีนโดยเฉพาะเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี ที่ยังไม่มีการฉีดวัคซีน และเป็นกลุ่มเสี่ยง จะติดเชื้อมากขึ้น เราจึงได้เตรียมพร้อมไว้แล้ว ในโรงพยาบาลภาคีเครือข่ายของ กทม. ที่จะมีการดูเรื่องการเปิดเรียนของเด็กควบคู่ไปด้วย.