สงครามโรคระบาด สงครามการเมือง คุกรุ่นตลอดปีวัวคะนอง สถานการณ์ประเทศไทยยังถูกเขย่าขวัญจากมหันตภัยโควิด-19 คุกคามอย่างหนัก ระบาดหนักทุกหัวระแหง ภายใต้การบริหารจัดการแก้ปัญหาล้มเหลวของรัฐบาล

ครั้นพอเหตุการณ์เริ่มคลายความอุ่นใจ ภาวะเศรษฐกิจพอผงกหัวขึ้นมาได้บ้าง ก็มีเชื้อร้ายสายพันธุ์ใหม่ “โอมิครอน” แวะเวียนไปทั่วโลก ทะลวงเข้าประเทศไทยจนสถานการณ์ชักน่าเป็นห่วง ต้องลุ้นปีใหม่ คนไทยจะได้เคาต์ดาวน์ หรือล็อกดาวน์

ส่วนสงครามการเมืองก็ระอุหนัก มีความขัดแย้งภายในรัฐบาล โดยเฉพาะในค่ายพลังประชารัฐชิงอำนาจรุนแรงต่อเนื่องทั้งปี เช่นเดียวกับม็อบคนรุ่นใหม่ที่สู้ยิบตา แต่ข้อเรียกร้องยังไม่บรรลุผล ซ้ำแกนนำยังมีคดีติดตัวยาวเป็นหางว่าว ต้องรอดูทิศทางการขับเคลื่อนต่อในปี 2565

ทีมข่าวการเมืองไทยรัฐ จึงขอย้อนรอยเหตุการณ์ที่เป็นที่สุดทางการเมืองแห่งปี 2564 ที่กำลังผ่านไป

โควิดยิ่งโคม่า

อลเวงข้ามปี มหันตภัยไวรัสร้ายโควิด-19 ลากยาวตั้งแต่ปี 2563 สถานการณ์ทรงๆทรุดๆ ตัวเลขผู้ติดเชื้อสะสมในประเทศไทยพุ่งพรวดเกิน 2 ล้านคน สังเวยเชื้อมรณะไป 20,000 กว่าราย

ยิ่งช่วงกลางปีดุสุด ยอดผู้ป่วยใหม่ทะยานหลักหมื่นต่อวัน ตายวันละเป็นร้อย โกลาหลทุลักทุเลกันทุกหย่อมหญ้า เพราะการ บริหารจัดการแก้ปัญหาของรัฐบาลไร้ประสิทธิภาพ คลัสเตอร์ใหม่โผล่รายวัน

...

เกินกำลังทีมนักรบเสื้อกาวน์รับมือไหว ผู้ติดเชื้อล้นโรงพยาบาล ทะลักมาอยู่ตามลานจอดรถ คนไทยเข้าคิวข้ามวันข้ามคืน รอตรวจหาเชื้อ เกิดภาพอเนจอนาถ คนตายคาบ้าน ตายกลางถนน เพราะไม่มีที่รักษา ภาคประชาชนต้องตั้งทีมช่วยเหลือเยียวยาดูแลกันเอง

หนำซ้ำเกิดวิกฤติขาดแคลนวัคซีน ประชาชนยืนต่อคิวมหาศาลที่สถานีกลางบางซื่อ แต่ยังไม่เพียงพอความต้องการ เพราะม้าเต็ง “แอสตราเซเนกา” ไม่มาตามนัด หลายคนต้องควักกระเป๋าซื้อวัคซีนราคาแพงจากเอกชน ยื้อชีวิตอยู่ต่อ สวนทางคำพูดหล่อๆ “วัคซีนเต็มแขนคนไทย”

รัฐบาลต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้า คิดสูตรฉีดไขว้พิสดาร แบบฉบับไทยแลนด์โอนลี่ พร้อมเร่งจัดซื้อ “ไฟเซอร์-โมเดอร์นา” และขอรับบริจาควัคซีนวุ่นวายไปหมด

แต่ที่งามหน้าคือ การช่วงชิงผลประโยชน์การเมือง จัดสรรวัคซีนลงพื้นที่ของนักเลือกตั้ง โกยแต้มหาเสียงให้ตัวเอง มีดราม่า “วัคซีนก้นขวด” ในพื้นที่นักการเมืองดัง เติมความเหลื่อมล้ำในสังคม

โควิดทำโคม่า กว่าการแก้ปัญหาเข้ารูปเข้ารอย ผู้ติดเชื้อลดลงช่วงปลายปี หลังวัคซีนมาตามนัด

แต่อุ่นใจได้ไม่นาน เชื้อร้ายสายพันธุ์ใหม่ “โอมิครอน” เข้ามาคุกคามจนขนหัวลุกอีกระลอก

แผนระห่ำโค่นผู้นำ

อุณหภูมิพรรคพลังประชารัฐเดือด ดวลเกมชิงอำนาจฝุ่นตลบ

ช่วงกลางปีเปิดฉากสมรภูมิประชุมใหญ่ ที่เมืองขอนแก่น เปลี่ยนถ่ายขั้วอำนาจในพรรค ขาใหญ่มูลนิธิป่ารอยต่อฯเดินเกมกดดันก๊วนสามมิตร บีบ “เสี่ยแฮงค์” อนุชา นาคาศัย คายเก้าอี้เลขาธิการพรรค

เคลียร์รันเวย์ให้ “ก๊อดฟาเธอร์เมืองไทย” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ผงาดยึดตำแหน่งแม่บ้านพรรคคนใหม่ขึ้นมาเป็นใหญ่ แผ่บารมีบนดิน-ใต้ดิน-ดีลลับ

โชว์ออฟผลงานเด็กในคาถาเข้าตาหัวหน้าพรรค “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ

“ผู้กองนัส” อำนาจล้นพรรค ยิ่งโตยิ่งห้าว กล้าคิดการณ์ใหญ่ กล่อม ส.ส.ในพรรคร่วมโค่น “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้หลุดเก้าอี้ผู้นำในศึกซักฟอกรัฐบาล

สุดท้ายแผนรั่ว “บิ๊กตู่” ไหวตัวทัน เดินเกมดูดตัว ส.ส.กลับ แผนลับกลายเป็นแผนล้ม คะแนนไว้วางใจ “บิ๊กตู่” พลิกผ่านฉลุย ได้นั่งเก้าอี้นายกฯต่อ

เกมโค่นอำนาจไม่สำเร็จ ผู้ยิ่งใหญ่เปลี่ยนสถานะเป็นกบฏ ถูกปลดฟ้าผ่าพ้น รมช.เกษตรและสหกรณ์

ไฟขัดแย้ง “ผู้นำ-ผู้กอง” ลุกพึ่บ เปิดศึกกันรัวๆ ที่ฉีกหน้ากันเจ็บๆคือ ซีนทำโพลวัดความนิยม ส.ส.ภาคใต้ ของผู้กองคนดัง ด้อยค่าเรตติ้ง “ลุงตู่” ในถิ่นด้ามขวาน จะเหลือ ส.ส.แค่ 4 ที่นั่งในการเลือกตั้งสมัยหน้า

เร่งปฏิกิริยาปิดบัญชีแค้นของผู้นำ โหมไล่ “ธรรมนัส” พ้นเลขาธิการพรรค แต่ผู้กองยังหนังเหนียวได้มีที่ยืนในพรรคต่อ เพราะ “บิ๊กป้อม” คอยรอมชอม อุ้มหอกข้างแคร่ “น้องเล็ก”

สยบศึกชิงอำนาจในพรรคสงบชั่วคราว แต่ “บิ๊กตู่-ธรรมนัส” ปักหมุดความแค้นถาวร!!!

ปฏิบัติการปราบกบฏ

ไฮไลต์การเมืองแห่งปี ยกให้แผนลับโค่นผู้นำ ระหว่างศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี มีหัวโจกชื่อ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ เดินแผนซ่องสุมกำลังหมายเขี่ย “บิ๊กตู่” หล่นอำนาจ

ภายใต้เสียงร่ำลือมีค่าขนมก้อนใหญ่ ตอบแทน ส.ส.ที่ร่วมเสี่ยงภัย วางแผนขับเคลื่อนตัวเองขึ้นชั้น รมว. มหาดไทย แทน “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา กรุยทาง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ นั่งแท่นนายกฯรักษาการคุมทัพเลือกตั้ง

สุดท้ายความลับไม่มีในโลก แผนซ่อนแต้มผู้นำหลุดถึงหู “บิ๊กตู่” เช็กแล้วว่าชัวร์เป็นเรื่องจริงรีบแก้เกมเอาคืน ล็อบบี้ ส.ส.ที่ออกนอกลู่นอกทางกลับมาเป็นพวก

ยื้ออำนาจได้ทันเวลาก่อนลงมติแค่วันเดียว แม้ได้แต้มโหวตไว้วางใจอันดับรองบ๊วย เสียหน้าไปบ้าง แต่ไม่เสียเก้าอี้ผู้นำ ท่ามกลางการเปิดโปงจากฝ่ายค้าน ประจานกลางสภาฯ อ้างมีการแจกกล้วย ส.ส.หัวละ 5 ล้านบาท แลกเสียงโหวตให้ได้ไปต่อ

เสร็จภารกิจปราบกบฏ ถึงเวลาชำระแค้น “บิ๊กตู่” สั่งปลด “ผู้กองนัส” พ่วง “มาดามแหม่ม” นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ กระเด็นหล่นเก้าอี้รัฐมนตรี ข้อหาคุกคามความมั่นคงนายกฯ

ขณะที่ “บิ๊กป้อม” กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ตกอยู่ท่ามกลางเขาควายแห่งความขัดแย้งระหว่าง “น้องเล็ก” กับ “ลูกน้องรัก” เกิดอาการพะอืดพะอมเรื่อยมาจนถึงวันนี้

ถูกมองให้ท้ายแผนระห่ำ “ทีมกบฏ” เพราะลำพัง ร.อ.ธรรมนัส ยากจะหาญกล้าไปต่อกรกับ พล.อ.ประยุทธ์

ถึงวันนี้ก็ไม่รู้สัมพันธภาพพี่น้อง 3 ป. รักกันจนวันตายจริงหรือไม่

รัฐธรรมนูญคงกระพัน

ยากยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขา การแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2560 ตำรับค่ายกล “ซือแป๋มีชัย ฤชุพันธุ์” ปรมาจารย์ด้านกฎหมายแถวหน้าของเมืองไทย

ความพยายามแก้กติกาประเทศคว้าน้ำเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า

แม้กระทั่งร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ กลุ่มรีโซลูชัน ฉบับภาคประชาชน เข้าชื่อ 135,247 คน เสนอ “รื้อระบอบประยุทธ์” ก็ถูก ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลและ ส.ว.ไม่แยแส หวดร่วงในชั้นรับหลักการ

คัดค้านหัวชนฝาเนื้อหาโค่นอำนาจสุดซอย ทั้งการปิดสวิตช์ ส.ว. รื้อโครงสร้างองค์กรอิสระ การยกเลิกยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีและแผนการปฏิรูปประเทศ

การล้มล้างมรดก คสช.ฉบับประชาชนโดนปิดประตูตาย ต่อเนื่องจากร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 13 ฉบับที่ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านเสนอไปก่อนหน้านี้ ก็ถูก ส.ว.ทำแท้ง ห้ามแจ้งเกิด

หลุดรอดไปได้แค่ร่างพรรคประชาธิปัตย์ฉบับเดียว ที่ขอแก้กติกาเลือกตั้งจากบัตร 1 ใบ เป็น 2 ใบ และให้มี ส.ส. 500 คน เป็น ส.ส.เขต 400 คน บัญชีรายชื่อ 100 คน ผ่านฉลุยประกาศบังคับใช้ รอร่างกฎหมายลูก

เกมแก้รัฐธรรมนูญลงเอยแค่ผลประโยชน์ในหมู่นักการเมือง ไว้สร้างความได้เปรียบในสังเวียนเลือกตั้ง

แต่การทลายนั่งร้านอำนาจ คสช. ยังเป็นความหวังลมๆแล้งๆ ได้แค่คิด แต่ไม่สัมฤทธิผล

สภาล่มซ้ำซาก

สภาฯใหม่ตั้งตระหง่าน รูปโฉมสุดโอ่อ่า แต่ภาพลักษณ์การทำงานยังเละเหมือนเดิม

พฤติกรรม ส.ส.ในสภาฯคงเส้นคงวา เอือมระอาในสายตาประชาชน ปีก่อนยังแค่พฤติกรรมส่วนบุคคล จับคู่ดวลฝีปาก ท้าตีท้าต่อยอวดมาดนักเลงโต

มาปีนี้ยกระดับ ส.ส.เหมาเข่งร่วมฉุดภาพลักษณ์มัวหมอง ประชุมสภาฯแต่ละสัปดาห์อยู่กันโหรงเหรง เปิดสมัยประชุมรอบใหม่แค่เดือนกว่าๆ สภาฯล่มไป 4 รอบ

องค์ประชุมล่มกลายเป็นเรื่องปกติ เห็นกันชินตาแทบทุกสัปดาห์ ไม่แคร์ความรู้สึกชาวบ้าน ฝ่ายรัฐบาล-ฝ่ายค้านต่างโยนกลอง โทษกันไปมาเป็นความผิดของอีกฝ่าย

ฝ่ายรัฐบาลโบ้ยฝ่ายค้านเล่นเกมการเมือง นั่งอยู่ในห้องประชุม แต่ไม่ยอมร่วมแสดงตน ส่วนฝ่ายค้านก็เล่นแง่โยนให้เป็นหน้าที่ฝั่งรัฐบาลในฐานะเสียงข้างมาก ต้องรักษาองค์ประชุมเอง

แม้พรรคแกนนำ “พลังประชารัฐ” ทำสารพัดวิธีทั้งขอร้อง ข่มขู่คาดโทษ ให้ ส.ส.เข้าร่วมรักษาองค์ประชุม แต่ดีขึ้นแค่ช่วงแรกๆ สุดท้ายกลับเข้าอีหรอบเดิม

ฝ่ายรัฐบาล-ฝ่ายค้าน ขนมพอสมน้ำยา ย่ำแย่พอกัน คิดแต่เล่นเกมการเมืองหักเหลี่ยมเฉือนคม

แต่สุดท้ายคนซวยคือ ประชาชน ต้องเสียประโยชน์จากการออกกฎหมายล่าช้า

ฟัดเดือดตลอดปี

ปีสุดชุลมุนชุลเก ม่านมุ้งในพรรคพลังประชารัฐ แบ่งขั้ว ย้ายข้าง เกิดแรงกระเพื่อมในพรรคชัดเจน สวนทางคำพูดหล่อๆ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ กำชับลูกพรรคต้องเป็นหนึ่งเดียว

ช่วงกลางปี จัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี จ.ขอนแก่น ปรับโครงสร้างอำนาจพรรคใหม่ ได้ชื่อ “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” เข้าวินเทก โอเวอร์เก้าอี้แม่บ้านพรรค พ่วงมากับรายชื่อทีมบริหารชุดใหม่ที่ล้วนโควตาผู้กองคนดัง ช่วยเพิ่มหัวเชื้อ เร่งไฟขัดแย้งในพรรคลุกโชนหนัก

ความปั่นป่วนเกิดอีกระลอก ครั้งเกิดข่าวโหวตล้ม “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ช่วงศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ จบด้วยอาฟเตอร์ช็อกใหญ่ คำสั่งปลด “ร.อ.ธรรมนัส” กับ “นฤมล ภิญโญสินวัฒน์” พ้น ครม.เพราะถูกกล่าวหาอยู่เบื้องหลังเกมโค่นอำนาจ

ศึกชนช้างยังไม่จบ เมื่อ 6 รัฐมนตรีของพรรค กำใบลาออกจากกรรมการบริหารพรรครอส่งให้ “พี่ใหญ่” ล้างไพ่ ให้ “ธรรมนัส-นฤมล” พ้นตำแหน่งในพรรค วางตัว “สุชาติ ชมกลิ่น” เสียบแม่บ้านพรรครับไม้ต่อ

สุดท้าย “บิ๊กป้อม” ออกโรงปิดจ๊อบ อุ้มสองขุนพลคู่ใจอยู่ต่อ ขอให้เลิกแล้วต่อกัน ยื่นคำขาด “ไม่เลิกทะเลาะกัน กูลาออก” พายุจึงสงบลง

เกมชิงอำนาจพลังประชารัฐ ฟัดกันดุเดือด หักเหลี่ยมเฉือนคมไม่มีหยุดตลอดปี!!!


เซอร์ไพรส์นายใหญ่

ซีกพี่ใหญ่ขั้วฝ่ายค้าน “พรรคเพื่อไทย” ปีนี้ไม่ขัดแย้งรุนแรงถึงระดับไฟลุกในพรรค แต่มี “บิ๊กเซอร์ไพรส์” การเมืองชวนให้ติดตาม

อีเวนต์ใหญ่ส่งสัญญาณมาจากแดนไกลถึงการเดินหน้าและกำหนดอนาคตของพรรคเพื่อไทย

เปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรคจาก “สมพงษ์ อมรวิวัฒน์” เป็น “นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว” ปรับองคาพยพกรรมการบริหารพรรคใหม่ให้สอดรับโลกยุคดิจิทัล

แต่ “บิ๊กเซอร์ไพรส์จริง” คือ การเปิดตัว “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวคนเล็กนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มานั่งเก้าอี้ประธานที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย

“ลุงโทนี่” ยังไม่คิดวางมือ ส่งลูกสาวคนโปรดชิมลางการเมืองโยนหินถามทาง หยั่งกระแสเป็นแคนดิเดต นายกฯพรรคเพื่อไทยในสังเวียนเลือกตั้งสมัยหน้า

รอทิ้งไพ่เด็ด “อุ๊งอิ๊ง” เป็นตัวตาย ตัวแทน “ชินวัตร” เจเนอ เรชันถัดไป วัดรอยเท้าทางการเมืองต่อจากรุ่นพ่อและรุ่นอา พุ่งสู่เป้าหมายกวาด ส.ส.แบบ “แลนด์สไลด์” จากกติกาถนัด บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ

คู่แข่งจ้องตาไม่กะพริบกลยุทธ์เด็ดของคนแดนไกล ส่งกล่องดวงใจลงสนาม ทวงคืนความยิ่งใหญ่

กองเชียร์ลุ้นระทึก เป็นห่วงซีรีส์ตอนจบ จะเดินตามรอย “พ่อและอา” หรือไม่

ฝ่ายค้านวงแตก

ขับเคี่ยวแย่งซีนกันเป็นเบอร์หนึ่งในซีกฝ่ายค้านตลอดปี อาการขบเหลี่ยม “เพื่อไทย-ก้าวไกล” เลยเกิดเรื่องชวนทะเลาะ เปลี่ยนการประสานงานเป็นประสานงาอยู่บ่อยๆ

ที่เห็นเด่นชัดคือ ศึกซักฟอกรัฐบาล เดือน ส.ค.2564 สองค่ายชิงไหวชิงพริบ แย่งบทบาทพระเอกฝ่ายประชาธิปไตยในการเป็นผู้นำอภิปรายไม่ไว้วางใจ

เห็นไม่ลงรอยรายชื่อ 6 รัฐมนตรีที่จะจับขึ้นเขียง ฝั่ง “ก้าวไกล” โวยวายมีดีลลับจาก “บิ๊กรัฐบาล” ล็อบบี้ทีมเพื่อไทยปล่อย “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ หลุดโผซักฟอก

รุ่นใหญ่ 2 พรรค เปิดศึกละเลงสงครามน้ำลาย ฟาดงวงฟาดงาเข้าใส่กัน ถากถางแบบเจ็บๆ ทวงถามความเป็นสุภาพบุรุษ ให้หยุดเอาดีใส่ตัวเอาชั่วให้คนอื่น

ศึกงัดข้อ 2 พรรค ยังบานปลายกระทบกระทั่งไปถึงปมแก้รัฐธรรมนูญที่ค่ายสีส้มเขม่นทีมนายใหญ่ไปฮั้วทีมพลังประชารัฐ ซูเอี๋ยสูตรบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ทิ้งพรรคน้องใหม่เสียประโยชน์ส่อแต้มหายจากกติกาใหม่

เรื่องของเรื่องสืบเนื่องจากการเปิดศึกชิงมวลชนคนรุ่นใหม่ ที่พักหลัง “เพื่อไทย” หันมาไล่บี้แย่งฐานนักเรียน นักศึกษาจากพรรคก้าวไกล สู้กันดุเดือดในโลกโซเชียล ขยายความขัดแย้งให้ร้าวลึกยิ่งขึ้น

สัมพันธ์ฝ่ายค้านก็อลเวงขัดแข้งขัดขาแตกแยก น่าห่วงไม่แพ้ฝ่ายรัฐบาล

ดาวดับอับแสง

กฎหมายออกอิทธิฤทธิ์เล่นงานนักการเมืองและนักเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตย สะบักสะบอมยกพวง

ฝั่งคนการเมือง โดนหนักกันถ้วนหน้า ไล่ตั้งแต่ก๊วน กปปส. โดนคำพิพากษาศาลอาญาสั่งจำคุก รับวิบากกรรมจากสมัย “แก๊งนกหวีด” ชัตดาวน์ กทม. นำโดย “ลุงกำนัน” สุเทพ เทือกสุบรรณ ต้องประกันตัวสู้คดีกันอุตลุด

แต่ที่สะเทือนหนักคือ พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์-ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ-ถาวร เสนเนียม ต้องกระเด็นหลุดเก้าอี้รัฐมนตรียกทีม เพราะต้องคำพิพากษาจำคุก ขัดคุณสมบัติการเป็น รมต.

ชะตากรรมไม่ต่างจากพวกตัวจี๊ดซีกรัฐบาลอย่าง ปารีณา ไกรคุปต์ และ วิรัช รัตนเศรษฐ ที่ถูกพักปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.ปมขัดจริยธรรมร้ายแรงบุกรุกป่า และกรณีทุจริตสนามฟุตซอล

นอกจากนี้ยังมีคดีเสียบบัตรแทนกันพ่นพิษ ทำ ส.ส.รัฐบาล ทั้ง ธนิกานต์ พรพงษาโรจน์ ค่ายพลังประชารัฐ และฉลอง เทอดวีระวงศ์-ภูมิศิษฐ์ คงมี ทีมภูมิใจไทย ต้องยุติบทบาทหน้าที่ชั่วคราว รวมถึง อนุรักษ์ ตั้งปณิธานนท์ ส.ส.มุกดาหาร พรรคเพื่อไทย ก็ถูกแช่แข็งหยุดทำหน้าที่จากคดีรีดทรัพย์อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล

ส่งท้ายปลายปี สิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ โดนศาล รธน.วินิจฉัยให้สิ้นสมาชิกภาพ ส.ส. เพราะเคยต้องคำพิพากษาจำคุกคดีฉ้อโกง

ขณะที่ม็อบเด็กก็เจ็บตัวสะบักสะบอม แกนนำสามนิ้วเดินเข้าๆออกๆคุกเป็นว่าเล่น แต่ละคนชนักคดีปักหลังยาวเป็นหางว่าว อาทิ “เพนกวิน” พริษฐ์ ชิวารักษ์ 21 คดี อานนท์ นำภา 14 คดี “ไมค์” ภาณุพงศ์ จาดนอก 9 คดี และ “รุ้ง” ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล 9 คดี

ทิ้งทวนด้วยคดีประวัติศาสตร์ปลายปี ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคดีปราศรัยทะลุฟ้าของกลุ่มราษฎร เข้าข่ายความผิด ใช้สิทธิหรือเสรีภาพล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย

แกนนำวัยโจ๋มีคดีติดตัวกันระนาว ต้องรอลุ้นระทึกวิบากกรรมต่อปีหน้า.

“ทีมการเมือง”