“พล.ต.ต.นครินทร์” เข้าแจง กมธ.พัฒนาการเมืองฯ ยันปฏิบัติกับม็อบตามข้อกฎหมาย ด้าน “อมรัตน์” สวน ไม่ตรงข้อเท็จจริง เปรียบดังโลกคู่ขนาน ชี้ สลายการชุมนุมผิดรัฐธรรมนูญละเมิดสิทธิมนุษยชน
วันที่ 16 ธ.ค. 64 ที่ประชุมคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน มีวาระพิจารณาแนวปฏิบัติของสำนักงานตำรวจแห่งชาติต่อการชุมนุมทางการเมือง โดยกรรมาธิการได้ทำหนังสือเชิญผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและผู้บังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน เข้าชี้แจงและพูดคุยเพื่อหาแนวทางปฏิบัติต่อกลุ่มผู้ชุมนุมโดยไร้ความรุนแรง โดยในวันนี้ มี พล.ต.ต.นครินทร์ สุคนธวิท ผู้บัญชาการอารักขาและควบคุมฝูงชน และคณะเข้าชี้เเจงต่อคณะกรรมาธิการ
นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.เขตบางขุนเทียน พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานกรรมาธิการ กล่าวว่าในวันนี้ได้เชิญเจ้าหน้าที่ตำรวจเเละผู้บัญชาการอารักขาเเละควบคุมฝูงชน เพื่อทราบถึงแนวทางปฏิบัติเเละเหตุผลที่แท้จริงต่อการเข้าสลายการชุมนุมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญของผู้ชุมนุมที่สามารถพึงกระทำได้ตามระบอบประชาธิปไตย โดยการหารือนี้จะเป็นประโยชน์ต่อทั้งประชาชนและภาพลักษณ์ของตำรวจเอง เนื่องจากทุกครั้งที่มีการชุมนุมของประชาชน มักจะเห็นข่าวความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับกลุ่มผู้ชุมนุม หลายครั้งมีผู้ได้รับบาดเจ็บไปจนถึงเสียชีวิต ทางกรรมาธิการจึงต้องการคำชี้แจงจากทางตำรวจถึงแนวทางในการปฏิบัติหน้าที่ต่อผู้ชุมนุมว่ามีกฎเกณฑ์อย่างไร แต่หลายครั้งกลับไม่ได้รับความร่วมมือและส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับผู้บัญชาการมาชี้แจง เหมือนชัดเจนว่า ผบ.ตร.ไม่ต้องการประนีประนอม และไม่แยแสต่อการบาดเจ็บล้มตายของประชาชน ทั้งที่เป็นการใช้สิทธิ์ของเขาที่ได้รับการรับรองตามรัฐธรรมนูญ
...
ขณะที่ พล.ต.ต.นครินทร์ สุคนธวิท ผู้บัญชาการอารักขาและควบคุมฝูงชน กล่าวว่า หากเป็นการชุมนุมอย่างสันติโดยปราศจากอาวุธ ทางเจ้าหน้าที่ก็จะปฏิบัติอย่างเรียบร้อย โดยเเบ่งชุดควบคุมฝูงชน ประกอบด้วย ชุดสีน้ำเงินเป็นชุดปฏิบัติการ มีกระสุนยาง และชุดสีกากี เป็นชุดภายนอก ทำหน้าที่ตรวจค้นอาวุธ เเละในการชุมนุมจะไม่มีการนำอาวุธจริงเข้ามาเด็ดขาด ยกตัวอย่างเมื่อวันที่ 14 พ.ย. กลุ่มผู้ชุมนุมจะมาชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เราจึงต้องจัดตั้งด่านเพื่อตรวจค้น ในการบังคับ จับกุมเเละดำเนินคดีตามขั้นตอน ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้การอำนวยความสะดวกผู้ชุมอย่างเต็มที่ในทุกครั้ง ในการชุมนุมปกติตามรัฐธรรมนูญ เจ้าหน้าที่จะเข้าดูเเลความสงบเรียบร้อยตาม พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ เเละหากเขาใช้สิทธิ์การชุมนุมโดยไม่ไปละเมิดใคร ก็จะปฏิบัติต่อผู้ชุมนุมอย่างเรียบร้อย เเละก่อนการใช้กำลังทุกครั้งจะต้องเจรจา หากผู้ชุมนุมไม่ปฏิบัติตามข้อเสนอ ก็จะเข้าทำการสลายการชุมนุมตามขั้นตอน ในหลายระดับ
“แต่ก็ต้องคำนึงถึงข้อกฎหมาย ที่ผ่านมาเราใช้การปฏิบัติตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ดังในกรณีสลายการชุมนุมกลุ่มจะนะรักษ์ถิ่น ผู้ชุมนุมกีดขวางประตู 1 คือทำเนียบรัฐบาล โดยในวันนั้นได้มีการเจรจา เเละผู้ชุมนุมไม่ปฏิบัติตาม มีการเข้าสลายการชุมนุมตามขั้นตอน ซึ่งการกระทำของผู้ชุมนุมผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จึงมีความผิดตามกฎหมายตั้งเเต่แรก ทางเจ้าหน้าที่สน.ดุสิต จึงต้องเข้าสลายการชุมนุม” พล.ต.ต.นครินทร์ กล่าว
ด้าน ปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก พรรคก้าวไกล กล่าวว่า กรณีที่ผู้แจงกล่าวว่า รับทราบสถานการณ์และตัดสินใจจากการข่าว ตนคิดว่าเป็นต้นเหตุนำไปสู่การปฏิบัติที่เกินกว่าเหตุ การข่าวของท่านแบบนี้ที่ว่ามาจากไหน ต่างกับปฏิบัติการไอโอหรือไม่ และสิ่งที่อยากฝากเอาไว้คือมีหลายครั้งที่การข่าวแบบที่ท่านอ้างได้สร้างโศกนาฏกรรมขึ้น จึงหวังว่าในอนาคตคงไม่นำไปสู่จุดนั้น
ขณะที่ นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ระบุว่า ในฐานะที่เป็นประธานคณะติดตามสถานการณ์ชุมนุมของ กมธ.ชุดนี้ ตนได้ติดตามการชุมนุมในทุกครั้ง กรณีที่ผู้ชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการนั้น ไม่ตรงกับความเป็นจริง เปรียบเสมือนเป็นโลกคู่ขนาน ปฏิบัติอย่างสองมาตรฐาน หลายกรณีที่ คฝ. สลายการชุมนุมโดยผิดรัฐธรรมนูญด้วยการละเมิดสิทธิมนุษยชน ทั้งยังกระทำความรุนแรงต่อสื่อมวลชน รวมถึงสตรีเเละเด็ก จึงขอถามไปยังเจ้าหน้าที่ว่า มีการอบรมกระบวนวิธีการสลายการชุมนุมตามหลักสากลหรือไม่ เพราะเจ้าหน้าที่เองที่ได้กระทำตัวเป็นคู่ขัดแย้งกับผู้ชุมนุม ไม่ได้ทำตัวเป็นตัวกลางในการปฏิบัติหน้าที่ และขอฝากไปยังผู้ชี้เเจงให้มีมนุษยธรรมต่อการปฏิบัติหน้าที่ต่อกลุ่มผู้ชุมนุม ไม่เลือกปฏิบัติทั้งกรณีการชุมนุมของฝั่งสนับสนุนรัฐบาลเเละฝั่งประชาธิปไตย