รอง ผอ.ศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน ร่วมมหาดไทย ติดตามการพัฒนาพื้นที่และคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ สู่โคก หนอง นา โมเดล จ.น่าน ชวนคนพื้นที่ร่วมโครงการ ยกระดับคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน

วันที่ 25 พ.ย. 2564 พล.ต.กัลย์สรรค์ จันทรเสน รองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน เป็นประธานการประชุมติดตามความก้าวหน้าการขับเคลื่อนและขยายผลการพัฒนาพื้นที่และคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ สู่โคก หนอง นา โมเดล ในพื้นที่จังหวัดน่าน โดย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายประยูร รัตนเสนีย์ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายสมคิด จันทมฤก อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร ผู้ก่อตั้งมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ ร่วมประชุมติดตาม และมี นายวิบูรณ์ แววบัณฑิต รองผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัด นายอำเภอ ผู้แทนศูนย์อำนวยการจิตอาสาจังหวัดน่าน และภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องร่วมประชุม

พล.ต.กัลย์สรรค์ กล่าวว่า เจ้าคุณพระสินีนาฏ พิลาสกัลยาณี เมื่อครั้งเดินทางมาปฏิบัติภารกิจในพื้นที่จังหวัดน่าน เมื่อวันที่ 18 ต.ค. 2563 มีดำริเกี่ยวกับการพัฒนาจังหวัดน่าน ด้านการพลิกฟื้นผืนป่าซึ่งเป็นแหล่งต้นน้ำลำธารให้กลับมาอุดมสมบูรณ์ เช่น การพัฒนาลุ่มน้ำน่านซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลัก และโครงการฮีโร่ฟื้นป่าน่าน และจังหวัดน่านน้อมนำมาเป็นแนวทางในการพัฒนา ซึ่งวันนี้เป็นการติดตามการดำเนินงานเพื่อนำไปเป็นแบบอย่าง และหากพบสภาพปัญหาในการขับเคลื่อน จะได้ช่วยหารือกันเพื่อหาทางออก ให้สามารถทำงานได้ แก้ไขได้ และยังสามารถแก้ปัญหาภัยแล้งได้ด้วย

“ในการดำเนินการทั้งหลาย ต้องประชาสัมพันธ์ สร้างความรับรู้เข้าใจให้ถ่องแท้ ถ้าประชาชนเข้าใจชัดเจนอย่างถ่องแท้ว่า ที่ดินที่เขาใช้ประโยชน์สามารถทำให้เกิดความชุ่มชื้น มีอาหาร มีอาชีพ มีคุณภาพชีวิตที่ดี เพื่อให้เกิดความร่วมมือ การถ่ายทอดแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างถูกต้อง เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ และจะได้ลงพื้นที่ติดตามประเมินผลต่อไป”

...

ด้าน นายสุทธิพงษ์ กล่าวต่อไปว่า หัวใจของการขับเคลื่อนอยู่ที่คน ดังนั้นต้องพัฒนาคนให้มีความรู้และเข้าใจแก่นแท้ของหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และเกษตรทฤษฎีใหม่ประยุกต์ สู่โคก หนอง นา โมเดล โดยการขุดดินในพื้นที่แปลงโคก หนอง นา เป็นการขุดตามสภาพภูมิสังคม เป็นประเด็นสำคัญที่ต้องเร่งเสริมสร้างความเข้าใจ ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนในพื้นที่ที่ดินต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ดินที่ไม่ได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ได้รับรู้ข้อมูลที่ถูกต้องอย่างทั่วถึง และสมัครเข้าร่วมโครงการ เพื่อให้ภาครัฐขออนุญาตหน่วยงานเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินตามกฎหมายให้ประชาชนใช้ประโยชน์ที่ดินที่ได้รับอนุญาต มีสิ่งแวดล้อมที่ดี และมีความสุขตามหลักเกษตรทฤษฎีใหม่และศาสตร์พระราชา

ทั้งนี้ รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ความสำคัญและขับเคลื่อนนโยบายไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ขณะนี้ยังมีประชาชนด้อยโอกาส ไม่สามารถเข้าถึงภาครัฐ เพราะไม่ได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินเนื่องจากที่ดินเป็นของรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ดินลักษณะเป็นพื้นที่ต้นน้ำลำธาร และมีสภาพแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์ มีความจำเป็นพิเศษที่ต้องได้รับการพัฒนา เพื่อให้มีองค์ความรู้ในการพัฒนาพื้นที่ ไม่ทำให้สิ่งแวดล้อมเสียหาย ดังนั้น แนวพระราชดำริที่เราน้อมนำมาขับเคลื่อนเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนจะช่วยแก้ไขปัญหาได้ พวกเราในฐานะข้าราชการใน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต้องอำนวยประโยชน์ช่วยพี่น้องประชาชนเทำให้ถูกกฎหมาย เช่น ถ้าพื้นที่นั้นเป็นพื้นที่หน่วยงานราชการใด ก็ทำเรื่องขออนุญาตให้ถูกต้อง และหากเป็นพื้นที่ที่เป็นปัญหา ต้องรีบช่วยเหลือประชาชน

นอกจากนี้ รัฐบาลยังมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย ขับเคลื่อนศูนย์อำนวยการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (ศจพ.) ระดับต่างๆ ซึ่งเป็นการประยุกต์หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้แก้ปัญหาความยากจนให้กับประชาชน โดยจะมีทีมปฏิบัติการไปเคาะประตู Re X-ray ข้อมูลครัวเรือน จะเป็นโอกาสที่ได้ช่วยเหลือประชาชนให้เข้าถึงบริการของรัฐซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุปัญหาความยากจนอีกทางหนึ่ง กลไกภาครัฐทั้งหมดต้องช่วยกันประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทุกครัวเรือนสมัครเข้าร่วมโครงการฯ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตให้เกิดความยั่งยืน

ขณะที่การขับเคลื่อนโครงการพระราชทานในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โคก หนอง นา แห่งน้ำใจและความหวัง กรมราชทัณฑ์ ซึ่งขับเคลื่อนโดยเรือนจำจังหวัด/อำเภอทั่วประเทศ ควบคู่กับการดำเนินงานของศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน อีกทั้ง ขอให้มีทีมเข้าไปติดตามดูแลช่วยเหลือผู้พ้นโทษที่กลับไปประกอบอาชีพในพื้นที่ โดยเฉพาะแปลงโคก หนอง นา ที่เขาทำเอง ต้องลงไปช่วยไปดู ไปให้กำลังใจ เพื่อพัฒนาเป็นวิทยากรต้นแบบให้กับผู้ต้องขังที่กำลังจะพ้นโทษประกอบอาชีพ พัฒนาคุณภาพชีวิต ให้มีความสุขได้อย่างยั่งยืน

ในด้านการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและน้ำแล้ง ให้จังหวัดร่วมกับหน่วยงานสังกัดกรมชลประทาน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และส่วนราชการอื่นๆ จัดทำและประมวลข้อมูลที่ถูกต้อง ทั้งพื้นที่น้ำแล้ง น้ำท่วม และจุดความร้อน (Hotspot) ที่เกิดจากไฟป่า ไฟทุ่ง ไฟเขา โดยเฉพาะพื้นที่เกิดปัญหาซ้ำซากมาวางแผนขับเคลื่อนให้เป็นระบบ โดยต้องระดมสรรพกำลังประชาชนสมัครเข้าร่วมโครงการน้อมนำเอาทฤษฎีใหม่มาแก้ปัญหา

จากนั้น รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน ระบุว่า จังหวัดน่านมีพื้นที่ทั้งสิ้น 7.58 ล้านไร่ จำแนกเป็นพื้นที่ป่าตามกฎหมาย (ทั้งป่าสงวนแห่งชาติ และป่าอนุรักษ์) 6.05 ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ 79.81 ของพื้นที่จังหวัด จากการสำรวจพบว่าปัจจุบันมีประชาชนอยู่อาศัยและทำกินในพื้นที่ป่า 1.57 ล้านไร่ เป็นสาเหตุหนึ่งทำให้พื้นที่ป่าลดลงและกลายเป็นเขาหัวโล้น โดยจังหวัดกำหนดเป้าหมายที่จะพลิกฟื้นป่า ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ให้กลับมามีความอุดมสมบูรณ์ โดยได้น้อมนำแนวคิดการพัฒนาพื้นที่และคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่สู่โคก หนอง นา โมเดล มาเป็นแนวทางหลักในการดำเนินการ และกำหนดให้เป็นนโยบายสำคัญของจังหวัด มีวัตถุประสงค์การขับเคลื่อนและขยายผลให้บรรลุเป้าหมาย

ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร ผู้ก่อตั้งมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ กล่าวเสริมว่า ทุกข์ของชาวบ้านเป็นทุกข์ของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทั้ง 2 พระองค์ทรงงานแก้ไขปัญหาให้กับราษฎรอย่างหนัก และวันนี้ขอบคุณที่ร่วมกันขับเคลื่อนงานเพื่อพี่น้องประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง สำหรับการทำงานในบทบาทจิตอาสา เราต้องช่วยกันประมวลจัดทำข้อมูลว่ามีพื้นที่เสี่ยงภัย ทั้งดินถล่ม น้ำท่วม ภัยแล้ง โดยใช้ข้อมูลจากภัยที่เกิดขึ้นในอดีตมาจัดทำแผน เชิญชวนประชาชนและภาคีเครือข่ายในพื้นที่ที่รักแผ่นดินนี้ มาช่วยกันและร่วมกันเป็นจิตอาสาแก้ไขปัญหาในพื้นที่ทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ทำอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน

“นายอำเภอทั้ง 15 อำเภอ ซึ่งทำหน้าที่เป็นเสมือนนายกรัฐมนตรีในท้องที่อำเภอ ต้องบูรณาการกับทุกหน่วยงาน เร่งสื่อสารประชาสัมพันธ์ เชิญชวน และรับสมัครประชาชนกลุ่มเป้าหมายที่มีความสนใจในทุกพื้นที่ให้เข้าร่วมโครงการ เพื่อสร้างความรู้ในการพัฒนาที่ดินให้เกิดประโยชน์และส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชนให้มีความสุขในการใช้ชีวิตในพื้นที่อย่างยั่งยืนต่อไป”