การประชุมใหญ่ของสองพรรคใหญ่ ที่ผ่านมาเป็นสัญญาณแสดงว่าการเลือกตั้งคราวหน้า จะเป็นการต่อสู้ระหว่างพรรคพลังประชารัฐกับพรรคเพื่อไทยเหมือนเดิม แต่อาจเปลี่ยนคู่ชิงนายกรัฐมนตรี เป็นคนต่างวัย ระหว่างคนรุ่นพ่อกับรุ่นลูก ระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับ น.ส.แพทองธาร “อุ๊งอิ๊ง” ชินวัตร
“อุ๊งอิ๊ง” เป็นคนรุ่นใหม่ที่เข้าสู่การเมืองครั้งแรก ในตำแหน่งประธานที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทย ด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม แต่ยังไม่ยอมรับว่าตนเป็น “นักการเมือง” และไม่แน่นอนว่าจะเป็นผู้สมัครนายกรัฐมนตรี ของ พท.หรือไม่ แต่ไม่ใช่คนธรรมดา เพราะเป็นบุตรสาวอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร
เป็นการเข้าสู่การเมืองแบบก้าวกระโดด เช่นเดียวกับอดีตนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่เข้าสู่การเมืองเพียง 49 ปี แต่ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทยราวกับปาฏิหาริย์ และเป็นการสืบทอดอำนาจในระบบครอบครัวการเมืองเหมือนกัน รัฐบาลยิ่งลักษณ์ประสบความสำเร็จหรือไม่ เป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้ง
ส่วน พล.อ.ประยุทธ์อาจได้รับเลือกจาก พปชร.ให้เป็นผู้ชิงนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีมาแล้วกว่า 7 ปี และมีผลงานเป็นที่ประจักษ์เช่นเดียวกัน เช่นมีคนจนเพิ่มขึ้น จาก 7.2% เมื่อปี 2558 พุ่งขึ้นเป็น 9.8% ในปี 2561 เป็นประเทศที่ยากจนที่สุดในอาเซียน ในสายตาสหประชาชาติ
สหประชาชาติไม่ได้วัดความยากจนด้วยรายได้อย่างเดียว แต่วัดด้วยปัจจัยอื่นๆด้วย เช่น การศึกษา การสาธารณสุข วัดด้วยโภชนาการ มาตรฐานการครองชีพ และความยุติธรรมในสังคม เป็นต้น และมีรายงานของธนาคารโลกยังระบุด้วยว่า ไทยเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำอันดับ 4 ของโลก
ยิ่งกว่านั้น แม้ พล.อ.ประยุทธ์จะแสดงความมุ่งมั่นที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป แต่มีปัญหาว่าจะขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 158 ที่ห้ามดำรงตำแหน่งนายกฯเกิน 8 ปี และจะครบกำหนดในเดือนสิงหาคม 2565 แต่ถ้าต้องการต่ออีก ศาลต้องตีความรัฐธรรมนูญแบบศรีธนญชัย อ้างว่าเพิ่งจะเป็นนายกฯเมื่อปี 2562ไม่ใช่ 2557
...
หวังว่าประเทศไทยจะไม่ถึงกับ อับจน มีทางเลือกผู้นำประเทศจากสองพรรค น่าจะมีทางเลือกอื่นๆให้เลือกด้วย แต่จะต้องเป็นพรรคที่มีอุดมการณ์ และนโยบายเป็นของตนเอง ไม่ใช่นโยบายเก่าแก่และดั้งเดิมของพรรคส่วนใหญ่ นั่นก็คือต้องเป็นรัฐบาลให้ได้ เป็นฝ่ายค้านอดอยากปากแห้ง รัฐบาลปากมัน.