เมื่อสัก 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีการจัดเสวนาเนื่องในโอกาสครบรอบ 60 ปี ของการสถาปนาสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง หรือ สศค. หน่วยงานสำคัญอีกหน่วยหนึ่งของกระทรวงการคลัง ในหัวข้อเกี่ยวกับนโยบายและการบริหารการคลังหลังโควิด-19
ทาง สศค.ได้เชิญผู้มีประสบการณ์และผู้ทรงคุณวุฒิ ทั้งด้านการเงินการคลังมาร่วมเสวนาให้ข้อคิดและข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งหลายๆท่าน
ผมชอบใจข้อคิดของท่านอดีตปลัดกระทรวงการคลัง คุณ สมชัย สัจจพงษ์ มากกว่าใครเพื่อน...ถึงกับตัดข่าวที่ท่านอภิปรายและหนังสือ พิมพ์หลายๆฉบับ นำลงอย่างละเอียดพอสมควรเข้าแฟ้มไว้
อดีตปลัดสมชัยเริ่มต้นด้วยการให้ภาพกว้างๆจากผลกระทบของโควิด-19 ที่มีต่อเศรษฐกิจและสังคมไทยเราว่า “การระบาดครั้งนี้ได้สร้างแผลเป็นให้เศรษฐกิจไทยและสะท้อนจุดอ่อนของประเทศเราไว้หลายเรื่อง”
เช่น ปัญหาความเหลื่อมล้ำที่รุนแรงขึ้น ระบบการช่วยเหลือสังคมที่อ่อนแอไม่ทั่วถึง และความสามารถในการบริหารจัดการของรัฐที่ควรจะทำได้ดีกว่านี้
ท่านจึงขอฝาก สศค.ไว้ว่าจะต้องช่วยดูแลปัญหาเศรษฐกิจอย่างเบ็ดเสร็จ ไม่ใช่ทำแบบผักชีโรยหน้า โดยมีเรื่องสำคัญที่จะต้องดำเนินงานได้แก่การช่วยคนตกงานให้กลับเข้าสู่ตลาดแรงงานอีกครั้ง
โดยการเปิดให้ท้องถิ่นมีส่วนร่วมเสนอการสร้างงานในชุมชนด้วย ไม่ใช่มีแต่นโยบายจากส่วนกลาง
ท่านกล่าวถึงนโยบายแจกเงินต่างๆว่า การแจกเงินไม่ใช่สูตรสำเร็จ ที่สำคัญแจกไปเป็นเหมือนยิงปืนได้นกตัวเดียว เพราะจริงๆแล้วรัฐควรจะยิงนกให้ได้ 2 ตัว
การแจกเงินต้องมีเงื่อนไขให้เกิดแรงจูงใจในการพัฒนาทักษะ (ของชาวบ้าน) ด้วย ถ้าแจกแค่ช่วยพยุงเศรษฐกิจก็จะไม่ได้สร้างโอกาสในการเติบโตในอนาคต ต่อไปไม่นานเส้น จีดีพี (ผลิตภัณฑ์มวลรวม ในประเทศ) จะตกลงมา
...
ขณะเดียวกัน การแก้ปัญหาเอสเอ็มอีและผู้ประกอบการรายย่อยให้กลับมาค้าขายได้ ที่ผ่านมาภาครัฐได้พยายามจัดสินเชื่อเข้าช่วยแต่ธุรกิจก็เข้าไม่ถึงแหล่งทุน เพราะติดเงื่อนไขต่างๆมากมาย
ท่านกล่าวตอนหนึ่งว่า “วิกฤติหนักขนาดนี้ แต่ธนาคารยังมีกำไรหลายหมื่นล้านบาท เติบโตขึ้นทุกปี ขณะที่เอสเอ็มอีกลับยํ่าแย่”
รวมไปถึงการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่กำลังพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ ก็เป็นเรื่องใหญ่ “ไม่ควรช่วยแค่ปรับโครงสร้างหนี้ พักหนี้ ฯลฯ เท่านั้น แต่ต้องช่วยให้ลูกหนี้มีความสามารถหาเงินมาใช้หนี้ได้ด้วยในที่สุด”
ท่านอดีตปลัดสมชัยเป็นคนตรงไปตรงมา สมัยท่านเป็นปลัดกระทรวง มีอะไรไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลท่านก็จะออกมาเตือนอยู่เสมอ
รวมทั้งถ้าผมจำไม่ผิดว่ารัฐบาลบิ๊กตู่นี่แหละจะโยกย้ายท่านไปเป็น เลขาธิการสภาพัฒน์ ท่านก็เลยตัดสินใจลาออกจากราชการก่อนเกษียณฯ ทั้งๆที่ช่วงนั้นอายุของท่านจะยังไม่ครบ 60 ปีก็ตาม
ผมเองก็ไม่ได้ถึงกับมองว่านักการคลังรุ่นใหม่ชอบแจกเงินเพราะเป็นนโยบายของนักการเมืองเท่าไรนัก เพราะจริงๆแล้วนักการคลังรุ่นใหม่ทั้งโลกมักจะยึดตำราใหม่เสียมากกว่า...คือแจกเอาไว้ก่อน ปั๊ม GDP เอาไว้ก่อน...GDP ขึ้นแล้วทุกอย่างจะค่อยๆดีขึ้นเอง...ซึ่งไม่ใช่
คำเตือนของท่านอดีตปลัดสมชัย ซึ่งเป็นนักการคลังรุ่นกลางเก่า กลางใหม่ จึงยังมองประเด็นว่าไม่ควรแจกแบบสุรุ่ยสุร่าย จะต้องคิดถึงการพัฒนาทักษะของผู้รับแจกด้วย เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
หวังว่าคำแนะนำของท่านอดีตปลัดคลังครั้งนี้คงเหมือนกับคำฉันท์ “กฤษณาสอนน้อง” ในอดีตที่จะเป็นประโยชน์แก่ “น้องๆ” ข้าราชการกระทรวงการคลังรุ่นใหม่ของท่านบ้างไม่มากก็น้อย
ความจริงก็ไม่ใช่สอนน้องอย่างเดียวหรอกอาจจะสอน “เพื่อน” ด้วยเช่นกัน...เพราะถ้าจำไม่ผิดท่านอดีตปลัดคลังสมชัยท่านเรียน “วปอ.” รุ่นเดียวกับ “บิ๊กตู่” มีสิทธิ์จะสอนหรือแนะนำกันได้จากเพื่อนถึงเพื่อนว่างั้นเถอะ.
“ซูม”