ชีวิตแบบนิวนอร์มอลช่วงนี้ ช่วงวังเวง และหดหู่ “โควิด-19”...ฆ่าชีวิตคนไทยตายเป็นเบือ การจะมีความสุขได้ในยุคชีวิตปกติใหม่ ต้องปรับความคิด “ชีวิตไม่ยากถ้าตั้งโจทย์ง่าย...”

หนึ่ง...ยามมีความสุขก็ควรสุขแต่พอดี...ยามมีความทุกข์ก็ทุกข์พอประมาณ เพราะไม่มีอะไรอยู่กับเรานาน...เดี๋ยวมันก็ผ่านไป สอง...ไม่ควรคิดก็ไม่ต้องคิด...เป็นไปไม่ได้ก็ไม่ต้องดิ้นรน ธาตุแท้ของคนจะเปิดเผยตามกาลเวลา สาม...จะชนะได้ต้องมองให้ต่างพร้อมสร้างของใหม่...ต้องมองให้ไกลกว่าภาพตรงหน้า

สี่...ความรู้ทำให้เดินเหนือดิน...แต่ถ้าอยากจะติดปีกบิน...คุณต้องมีจินตนาการ ห้า...จำไว้...สิ่งที่น่ากลัวกว่าการเลิกราคือการกลับมาของคนที่จากไป...ขอให้ทุกท่านมีความสุขปลอดภัยจากโควิดครับ

อาจารย์สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการ สิ่งแวดล้อมไทย บอกอีกว่า ภาพใหญ่ประเทศไทยในยุค New Normal และ Disruption

“โควิดทำให้ติดและฆ่าชีวิตคนไทยตายยังกับใบไม้ร่วงทุกวัน หลายท่านอยู่ตามลำพังกลายเป็นโรคซึมเศร้า หลายท่านตายแล้วด้วยพิษเศรษฐกิจและหลายท่านป่วยต้องกักตัวอยู่ในบ้าน...สุดท้ายในชีวิตจริงจะมีเพียงครอบครัวหรือญาติพี่น้องหรือเพื่อนสนิทเท่านั้นที่จะอยู่เคียงข้างดูใจและให้ความช่วยเหลือ...”

...

จึงต้องรักกันให้มากๆ รักกันไม่รู้จบ รัก...กันไว้ มั่นคง อย่าหลงลืม ไม่...เป็นอื่น ขอยืนข้าง ร่วมทางฝัน รู้...สัมพันธ์ ฉันมิตร รั้งจิตกัน จบ...ลงพัล วันฉัน หลับตาลง (นายกลอน ประตู)

ถ้าคุณอยากทำงานอย่างมีความสุขต้องผูกมันไว้กับเป้าหมาย ไม่ใช่ผู้คนหรือสิ่งของเชื่อผม สาม...I can สำคัญกว่า IQ เป็นร้อยเท่า...จำไว้ ลงมือทันที ในแง่...การทำงานบางทีก็เหมือนการเล่นละคร มีบางตอนที่ต้องทำการแสดง...รู้มั้ย ข้อต่อมา...อย่าจำว่าเราทำดีกับใคร แต่ต้องจำให้ขึ้นใจว่าใครทำดีกับเรา...เชื่อเถอะ

ถึงตรงนี้ จงฟังความรู้สึกของผู้พูด...ไม่ใช่คำพูด...ลองดู...แล้วจะรู้ถึงจิตใจเขา...และโปรดอย่าได้ลืม คนมีความรักต้องจำไว้...ไม่ว่างคือข้ออ้างของคนหมดใจ...ไม่เป็นไรคือคนพูดเสียใจ แต่ซ่อนอาการ...รู้ไว้

ข้อสุดท้ายจำให้แม่น...ยุคนี้ คนระ...มีไปทั่ว คนชั่วมีเยอะ...โปรดระวังตัวด้วย

“โลกชีวิตแบบ New Normal” เราทุกคนจึงต้องอยู่ต่อให้ได้ นโยบายของรัฐประกาศไว้ชัด “ต้องไม่มีคนยากจนในประเทศไทยอีกต่อไป”...ถูกต้องครับเขาตายหมดแล้วจากนโยบายโควิด “สำหรับสังคมยุคใหม่ คุณจะรวยก่อนแก่ หรือจะแก่ก่อนรวยก็เลือกเอา แต่ถ้าแก่ก่อนรวย ก็ถือว่าซวยไป”

ความจริงแท้ข้อต่อมา...นายสั่งให้ทำตามหน้าที่ “โดดตึกตายเดี๋ยวนี้”...ปฏิบัติ ข้อนี้ไม่ใช่เรื่องแค่พูดกันขำๆนะครับ จริงมากน้อยแค่ไหนอย่างไรนั้นคนเป็นนาย เป็นลูกน้องน่าจะรู้กันดี

แล้วในท้ายที่สุด...ชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน แม้แต่ละครยังมีตอนต่อไป...เล่นไปตามบทบาทครับ

ยุค “โควิด-19” ระบาดหนักทำให้พวกเราต้องอยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ...โลกในความเป็นจริงวันนี้ที่ต้องให้การยอมรับ เริ่มจาก... “ถ้าคุณเอาไอเดียห่วยๆยัดใส่มือคนเก่งเค้าจะทำให้มันยอดเยี่ยม แต่ถ้าเอาไอเดียดีๆใส่มือคนห่วยๆ เค้าจะทำให้มันเป็นขยะ...เชื่อมั้ย?”...ปัญหาหนึ่งของโลกใบนี้ก็คือผู้นำที่ฉลาดมักเต็มไปด้วยความสงสัย ในขณะที่ผู้นำที่โง่เขลามักเต็มไปด้วยความมั่นใจ...(นะจ๊ะ)

อีก 5 ปี ข้างหน้าท่านจะเป็นอย่างไรมีสองสิ่งที่บอกได้คือหนังสือที่ท่านได้อ่านกับเพื่อนที่ท่านคบในเวลานี้...เชื่อผม และ...ตอนเข้าโรงเรียนประถมต้นคุณครูถามว่า “โตขึ้นอยากเป็นอะไร” ผมตอบว่า “เป็นอะไรก็ได้ที่มีความสุข” ครูบอกผมว่า “ไม่เข้าใจคำถามหรือ” ผมตอบไปว่า “ครูนั่นแหละไม่เข้าใจชีวิต”...ถูกตีครับ

อาจารย์สนธิ ย้ำว่า ความบังเอิญไม่มีอยู่จริง ไม่มีอะไรที่แน่นอนขนาดหน้าร้อนฝนยังตก อย่ากังวลกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึงแต่ให้คำนึงถึงสิ่งที่กำลังทำ...เข้าใจมั้ย

เรื่องสุดท้าย... “ตำแหน่ง” อยู่ไม่นาน แต่ “ตำนาน” อยู่ไม่ลืม...อยากให้เขาจำได้ในแบบไหน?

จากชีวิตยุคนิวนอร์มอลก้าวมาถึงวันที่ถึงในวัยเกษียณ “ผู้อยู่ในวัยเกษียณ” พึงรู้ไว้...เดือนสิงหาคมและกันยายนของทุกปี “ข้าราชการ” และ “พนักงานองค์การรัฐ” หลายท่านเริ่มเตรียมตัวเข้าสู่วัยเกษียณอายุ ชีวิตเริ่มเข้าสู่ช่วงสูงวัย (สว.) แน่นอนว่า สว.ควรเตรียมตัวเพื่อพบกับภัย 5 ประการ คือ

1.ชีวิตโดดเดี่ยว 2.สังคมเมิน 3.สัมพันธ์โรคภัย 4.ทรัพย์สลาย 5.ชีวิตติดเตียง

“ความโดดเดี่ยวในบั้นปลายชีวิตจำนวนคนรอบตัวจะเริ่มลดลงเรื่อยๆ ...คนรุ่นพ่อรุ่นแม่ รุ่นปู่ย่าตายาย ส่วนใหญ่หนีหายกันไปแล้ว คนที่อยู่ในวัยเดียวกับเราก็จะเริ่มประสบปัญหาในการดูแลตนเอง คนรุ่นหลังรุ่นลูกหลานก็กำลังง่วนกับชีวิตการงานของพวกเขา คู่ชีวิตของเราเองก็อาจจะจากไปก่อนแล้ว เร็วกว่าที่เราคาดไว้”

ดังนั้น เราอาจถูกทิ้งให้อยู่กับวันเวลาที่ว่างเปล่าคนเดียว เราจึงต้องเรียนรู้ที่จะอยู่คนเดียวให้ได้ และยอมรับกับความโดดเดี่ยวในบั้นปลายชีวิตที่จะต้องเผชิญ

“สังคม” จะเริ่มให้ความสำคัญกับเราน้อยลงเรื่อยๆ ไม่ว่าในอดีตเราจะเคยยิ่งใหญ่หรือมีชื่อเสียงอย่างไรก็ตาม...ความชราจะเปลี่ยนเราให้กลายเป็นเพียงชายหรือหญิงแก่ๆธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น สปอตไลต์ทุกดวงจะหยุดฉายมาที่เรา เราจะต้องหัดพอใจกับการยืนในมุมห้องหรือเงามืดอย่างเงียบๆเพียงคนเดียว

“เราต้องเรียนรู้ และยินดีกับภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า โดยปราศจากความอิจฉาริษยาหรือคับแค้นใจใดๆทั้งสิ้น”...ภัยจาก “โรคภัยไข้เจ็บ” พร้อมที่จะเกิดขึ้นกับเราได้ตลอดเวลา เช่น เส้นเลือดตีบ สมองฝ่อ หัวใจเต้นผิดปกติ อารมณ์แปรปรวน หลงลืม โรคมะเร็ง เป็นต้น

สิ่งเหล่านี้เราจะต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับความเจ็บป่วยหรือยอมรับมันให้ได้ และดำเนินชีวิตด้วยความเข้มแข็ง คือ...คิดบวกเสมอ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เช่น เดินวันละ 30-45 นาที เป็นประจำ...ควบคุมการกินอาหารให้ถูกสุขลักษณะ พักผ่อนให้เพียงพอ นอนหลับไม่คิดมาก

“ทรัพย์สินเงินทองที่มีอยู่ ต้องหลีกเลี่ยงการนำไปลงทุน หรือให้ใครหยิบยืมโดยเด็ดขาด เพราะเราหมดเวลาแสวงหากำไรแล้ว...
ใช้เงินทองเพื่อตัวเองให้มากขึ้น”

ชีวิตติดเตียงที่อาจเกิดขึ้นได้ต้องเตรียมตัวให้พร้อม เราจะถูกดูแลโดยคนอื่น ไม่เหมือนเมื่อเราแรกเกิด...สิ่งที่แตกต่างกันคือ เราเคยมีแม่เป็นผู้ดูแลด้วยความรักอย่างสุดหัวใจ แต่เมื่อใกล้วันที่เราจะจากโลกนี้ไปเราไม่มีแม่เหลืออยู่แล้ว อาจมีญาติที่ใกล้ชิดหรือมีพยาบาลมาดูแล

แต่ต้องยอมรับว่า มันไม่เหมือนกับการดูแลของแม่ที่ดูแลเราด้วยความรักอย่างแน่นอน...ดังนั้น จงฝึกอยู่นิ่งๆ อย่าจู้จี้ขี้บ่น อย่าทำตัวให้เป็นที่ลำบากของคนอื่น จงรู้สึกพอใจในสิ่งที่เราได้รับได้เป็น

“ผู้สูงวัยทุกคนจงมองชีวิตตามความเป็นจริง พอใจในสิ่งที่ได้รับ และยินดีกับสิ่งที่มีอยู่ ใช้ชีวิตให้สนุกขณะที่ยังทำได้ ทำงานเพื่อสังคมให้มากขึ้น อย่าเอาเรื่องยุ่งเหยิงของสังคม เช่น เรื่องการเมือง หรือแม้แต่เรื่องของลูกๆหรือหลานๆมาเป็นปัญหาของตนเอง จงใช้ชีวิตอย่างเจียมเนื้อเจียมตัวและเรียบง่าย...”

อย่าแสดงตัวว่าเก่งเพราะคิดว่ามีประสบการณ์สูงและผ่านอะไรๆมามาก เมื่ออายุยิ่งมากเรายิ่งต้องให้ความสำคัญกับการอ่อนน้อมและการเคารพให้เกียรติผู้อื่นมากขึ้น

“ชีวิตเรานั้นเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ควรปล่อยวาง จงใช้ชีวิตที่เหลือเป็นประโยชน์ต่อสังคม สงบ สุขุมและพอเพียง ที่สำคัญช่วงนี้ต้องเอาชีวิตให้รอด ปลอดภัยจากโควิดก่อนนะครับ”.