ตร.จัดชุดใหญ่ระดมโบกี้ถังน้ำมัน-ตู้คอนเทนเนอร์สกัดม็อบปลดแอก ก่อน โดนแกงย้ายวิกไปหน้า ร.1 ทม.รอ.แทน ชุด คฝ.ระดมยิงแก๊สน้ำตา-กระสุนยางไม่ให้เคลื่อนไปบ้านนายกฯ ปะทะกันเดือดได้รับบาดเจ็บทั้งสองฝ่าย ก่อนยุติการชุมนุมม็อบยังเผารถขนผู้ต้องขังระบายอารมณ์ คาร์ม็อบต่างจังหวัดผุดเป็นดอกเห็ด แต่โดนตรวจเข้ม ด้านฝ่ายค้านขยายปมปิดปากสื่อจ่อส่งศาลอาญาทุจริต-พร้อมยื่นถอดถอน “ตู่” พ้นตำแหน่ง กก.ข้อมูลข่าวสารจี้ ป.ป.ช.เปิดบัญชีทรัพย์สิน “ประยุทธ์-วิษณุ” ชี้เป็นหน้าที่ต้องเปิดเผยต่อประชาชน รองเลขาฯ ป.ป.ช.ทำยักท่า อ้างกฎหมายไม่ต้องเปิดเผยก็ได้

...

กลุ่มเยาวชนปลดแอกและภาคีเครือข่าย ระดมพลมาตามนัดบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยคึกคักตั้งแต่ช่วงเช้า ก่อนจะประกาศเทแกงร้อน ไม่เคลื่อนขบวนไปบริเวณพระบรมมหาราชวัง เปลี่ยนสถานที่ย้ายไปชุมนุมที่ ร.1 ทม.รอ. สถานที่ตั้งบ้านพัก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหมแทน

ขนโบกี้-คอนเทนเนอร์สกัดม็อบ

เมืิ่อวันที่ 7 ส.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวของกลุ่มเยาวชนปลดแอก หรือ Free YOUTH ร่วมกับภาคีเครือข่าย กลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย หรือ DRG กลุ่ม We Volunteer หรือ wevo คณะประชาธิปไตยเพื่อความหวัง (DemHope) กลุ่มทะลุฟ้า กลุ่มเฟมินิสต์ปลดแอก กลุ่มศาลายาเพื่อประชาธิปไตย ฯลฯ จัดกิจกรรมชุมชนและเดินขบวนจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยไปยังพระบรมมหาราชวัง เรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ลาออกจากตำแหน่ง จากความล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดิน มีเยาวชน นักเรียน นิสิต นักศึกษา รวมถึงกลุ่มคนเสื้อแดง ทยอยมารวมตัวที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยอย่างคึกคักตั้งแต่ช่วงเช้า ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองบัญชาการตำรวจ นครบาล (บช.น.) ขนตู้คอนเทนเนอร์ โบกี้รถไฟที่เป็นถังน้ำมันขนาดใหญ่ และลวดหนาม มาขึงเป็นแนวขวางบนถนนราชดำเนินใน และพื้นที่โดยรอบเส้นทางที่จะเข้ามาพระบรมมหาราชวัง ป้องกันผู้ชุมนุมเข้ามาในพื้นที่ มีการติดป้ายข้อความ “ทหารของพระราชา และตำรวจของประชาชน (คนดี) รวมพลัง พร้อมปกป้องรักษา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และสถานที่สำคัญของชาติ” ตั้งแต่กลางดึกวันที่ 6 ส.ค.ที่ผ่านมา รวมถึงนำตู้คอนเทนเนอร์และลวดหนามมาขึงขวางเส้นทางข้ามสะพานมัฆวานรังสรรค์ ถนนราชดำเนิน สะพานเทเวศรนฤมิตร ถนนสามเสน สะพานวิศุกรรมนฤมาน ถนนราชสีมา เส้นที่จะมุ่งสู่ทำเนียบฯ

ผู้ชุมนุม-ตร.ปะทะกันแต่หัววัน

ต่อมาเวลา 10.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.สำราญราษฎร์ เข้าตรวจสอบรถพยาบาลของกลุ่มการ์ด We Volunteer หรือวีโว่ ที่บริเวณลานจอดวัดมหรรณพารามวรวิหาร พบผู้ต้องสงสัยจำนวน 6 คน รถยนต์ 2 คัน พบพลุไฟ วิทยุ เกราะอ่อน หัวนอต ลูกแก้ว หน้ากากกันแก๊ส เข้าข่ายกระทำผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก ตร.กล่าวว่า ช่วงเช้าที่ผ่านมาตำรวจเข้าตรวจค้นจุดที่คาดว่าจะมีการเก็บอาวุธมาใช้ในการชุมนุมวันนี้ ควบคุมตัวผู้กระทำผิดไว้ได้ 5-6 ราย และตรวจยึดลูกแก้ว เสื้อเกราะอ่อน รถยนต์ 2-3 คันไว้ดำเนินคดี กระทั่งเวลา 11.00 น. ที่ยังไม่ทันถึงเวลานัดหมาย 12.30 น. กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชน พร้อมอุปกรณ์โล่ กระบอง ปืนลูกซองยิงกระสุนยาง เครื่องยิงแก๊สน้ำตา รถเครื่องขยายเสียงและรถห้องขัง ได้ตั้งแถวหน้ากระดานแบบกำแพงโล่ ขวางถนนราชดำเนินกลาง บริเวณแยกคอกวัว เดินหน้าเข้ากระชับพื้นที่ถนนราชดำเนินกลาง ผลักดันกลุ่มผู้ชุมนุมให้ออกจากพื้นที่ เป็นเหตุให้เกิดการปะทะกับมวลชน มีการขว้างปาข้าวของแบบสู้พลางถอยพลาง แต่สุดท้ายไม่สามารถต้านทานกำลังตำรวจที่มาพร้อมอาวุธครบมือได้ ต้องถอยไปตั้งหลักที่เชิงสะพานผ่านฟ้าลีลาศ

เทแกงย้ายวิกไป ร.1 ทม.รอ.

ขณะที่เฟซบุ๊กเพจเยาวชนปลดแอกได้โพสต์ประกาศข้อความว่า “แกงร้อนนะคะคนดี แกงหม้อใหญ่มุ่งหน้ายึดทำเนียบ” ทำให้มวลชนมุ่งหน้าไปยังถนนนครสวรรค์ แยกนางเลิ้ง แต่ต้องเจอกับแนวสกัดของเจ้าหน้าที่ ทำให้เฟซบุ๊กเพจเยาวชนปลดแอกประกาศเปลี่ยนแผนอีกครั้ง ให้มวลชนไปรวมตัวกันที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เพื่อมุ่งหน้าไปชุมนุมที่หน้ากรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ (ร.1 ทม.รอ.) ถนนวิภาวดีรังสิตแทน ทำให้ฝ่ายตำรวจต้องสั่งการชุดควบคุมฝูงชนสับกำลังไปตั้งรับที่ ร.1 ทม.รอ. ในการชุมนุมครั้งนี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ประกอบด้วย นางปรีดา คงแป้น นายสุชาติ เศรษฐมาลินี น.ส.ศยามล ไกยูรวงศ์ และนายวสันต์ ภัยหลีกลี้ มาร่วมสังเกตการณ์ แต่เมื่อสื่อมวลชนสอบถามว่าการชุมนุมและการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ เป็นไปตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ และหลักปฏิบัติสากลหรือไม่ แต่ กสม.ระบุว่ายังไม่สามารถสรุปตอนนี้ได้

ระดมกำลังสกัดม็อบไปบ้านนายกฯ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังกลุ่มผู้ชุมนุมมายังอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ มีการบีบแตรรถพร้อมตะโกนเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ลาออกตลอดเวลามีมวลชนบางส่วนใช้สีสเปรย์พ่นข้อความด่าทอรัฐบาลที่ตู้คอนเทนเนอร์ สะพานลอย และกำแพงตลอดเส้นทาง โดยมีมวลชนเข้าร่วมเป็นระยะ กระทั่งเวลา 15.30 น. ขบวนมวลชนของกลุ่มเยาวชนปลดแอก และแนวร่วม เคลื่อนมาบนถนนราชปรารภเพื่อมุ่งหน้าไปยัง ร.1 ทม.รอ. ซึ่งเป็นที่ตั้งบ้านพักนายกฯ แต่ต้องหยุดลงเพราะมีการตั้งตู้คอนเทนเนอร์ 4 ตู้ สกัดขวางไว้ แนวรับด้านหลังมีเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดควบคุมฝูงชน(คฝ.) อาวุธครบทั้งปืนยิงกระสุนยาง ปืนยิงแก๊สน้ำตา หมวก โล่ กระบอง เมื่อมวลชนเริ่มทำการดึงตู้คอนเทนเนอร์ออก เจ้าหน้าที่ได้ประกาศเตือน และเริ่มกระหน่ำยิงแก๊สน้ำตา พร้อมนำรถเครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงฉีดใส่ผู้ชุมนุม และยิงกระสุนยางใส่ ทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมถอยร่นแบบไม่เป็นขบวน แต่ก็ตอบโต้ด้วยการขว้างปาวัตถุเสียงดังคล้ายประทัด พลุ และระเบิดเพลิง หนังสติ๊กกระสุนหัวนอตใส่เจ้าหน้าที่ เหตุปะทะช่วงนี้ผู้ชุมนุมหลายคนมีอาการปวดแสบ ปวดร้อนที่หน้าตา บางรายต้องถูกหามเข้าไปปฐมพยาบาลอย่างทุลักทุเล ขณะที่ฝ่ายตำรวจได้รับบาดเจ็บหลายนาย

กระหน่ำแก๊สน้ำตาก่อนเข้าสลาย

ช่วงเย็นเวลา 17.20 น. สถานการณ์ยิ่งร้อนแรงขึ้นหลังกลุ่มผู้ชุมนุมถูกสลายจากบริเวณแยกดินแดง จนต้องถอยร่นมาที่บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ มวลชนส่วนใหญ่ยังคงเป็นหนุ่มสาววัยรุ่นขี่จักรยานยนต์ มีการขว้างปาวัตถุเสียงดังคล้ายระเบิดไปทางฝั่งเจ้าหน้าที่ต่อเนื่อง ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนได้กระชับพื้นที่เข้ามาเรื่อยๆ จากบริเวณถนนราชปรารภและถนนพญาไท และที่บริเวณหน้าโรงพยาบาลราชวิถีฝั่งถนนพญาไทขาออกกลุ่ม
ผู้ชุมนุมมีการจุดไฟเผารถควบคุมผู้ต้องขังของตำรวจจนเกิดไฟลุกท่วมไปทั่วบริเวณ กระทั่งเวลา 18.20 น. ตำรวจระดมยิงแก๊สน้ำตากระหน่ำใส่ พร้อมนำกำลังเข้าตรึงพื้นที่ และนำรถฉีดน้ำแรงดันสูงเข้าดับไฟรถควบคุมผู้ต้องขัง ทำให้ผู้ชุมนุมต้องถอยร่นไปทางฝั่งถนนราชวิถีขาเข้า ใช้ความคล่องตัวของพาหนะที่เป็นรถ จยย.หลบหนีออกนอกพื้นที่ กระจายไปตามถนนเส้นต่างๆ ทำให้เจ้าหน้าที่ควบคุมพื้นที่ได้ทั้งหมด

ยุติชุมนุมแล้วแต่ยังซัดกันไม่เลิก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังแกนนำกลุ่มเยาวชนปลดแอก ประกาศผ่านเพจเฟซบุ๊ก “เยาวชนปลดแอก-Free YOUTH” เพื่อยุติการชุมนุม และให้สมาชิกแนวร่วมติดตามการนัดหมายชุมนุมใหม่อย่างใกล้ชิด แต่สถานการณ์บริเวณแยกสามเหลี่ยมดินแดง ฝั่งแฟลตดินแดง ยังคงมีการปะทะกันรุนแรงระหว่างกลุ่มวัยรุ่น นักศึกษาอาชีวะ กับเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อเนื่อง ปะทะกันมาตั้งแต่เวลา 16.00-19.00 น. ก็ยังไม่สงบ โดยฝั่งผู้ชุมนุมมีการยิงลูกแก้วด้วยหนังสติ๊ก ระเบิดเพลิง และไปป์บอมบ์ ใส่แนวเจ้าหน้าที่ตำรวจ ขณะที่ฝั่งตำรวจตอบโต้ด้วยแก๊สน้ำตาและกระสุนยางอย่างดุเดือด ส่งผลให้ชาวบ้านในแฟลตดินแดงจำนวนหนึ่งที่ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ และเจ็บป่วยระบบทางเดินทางหายใจ ร้องขอให้เจ้าหน้าที่ยุติการใช้แก๊สน้ำตา ทำให้ฝ่ายตำรวจปรับขบวนเป็นแนวรุกเข้ากระชับพื้นที่บริเวณหน้าแฟลตดินแดง ท่ามกลางฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก

รฟท.มึนตู้โบกี้ไปโผล่ในม็อบเฉย

วันเดียวกัน การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ออกแถลงกรณีมีการนำตู้โบกี้รถไฟไปใช้เป็นแนวป้องกันขัดขวางการชุมนุมนั้น ตามหนังสือของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ส่งมาถึงการรถไฟฯ ที่ ตช 0001 (มค 3)/570 ลงวันที่ 6 ส.ค. ขอความอนุเคราะห์ตู้โบกี้รถไฟและตู้เชื้อเพลิง ระบุวัตถุประสงค์ว่านำไปใช้ทำกิจกรรมป้องกันการแพร่ระบาดโควิด โดยไม่ได้ระบุแนวทางของการนำไปใช้ วันเวลา หรือสถานที่ที่จะนำไปใช้ โดยที่ทางการรถไฟฯยังไม่ทราบรายละเอียดของการนำไปใช้ตามที่เป็นข่าว อย่างไร ก็ตาม จะดำเนินการประสานไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อความชัดเจนในเรื่องนี้ต่อไป

รวบคาโรงแรม 2 ผู้ต้องสงสัยป่วน

ก่อนหน้านี้ในช่วงบ่าย ที่กองบัญชาการตำรวจ นครบาล (บช.น.) พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น. แถลงผลการปฏิบัติการดูแลรักษาความปลอดภัยกรณีการชุมนุม คดีแรก ตำรวจ สน.ชนะสงคราม และ กก.สส.บก.น.1 รับแจ้งมีผู้ต้องสงสัยที่อาจเข้ามาก่อความวุ่นวายภายในโรงแรมแมงโก้ ถนนข้าวสาร จึงเข้าตรวจสอบห้องพักหมายเลข 401-404 จับกุมผู้ต้องหา 2 คน ในห้องพักและรถยนต์พบวิทยุ เกราะอ่อน คีมตัดลวด น้ำเกลือ หน้ากากกันแก๊ส หมวกนิรภัย คดีที่ 2 ตำรวจ สน.สําราญราษฎร์ รับแจ้งมีผู้ต้องสงสัยภายในวัดมหรรณ– พาราม ตรวจสอบพบผู้ต้องสงสัย 6 คน ชาย 4 คน หญิง 2 คน ตรวจค้นรถตู้ลักษณะคล้ายรถกู้ชีพ และ รถยนต์อีก 1 คัน พบปลอกเสื้อเกราะพร้อมอุปกรณ์ เข็มขัดสนาม วิทยุสื่อสาร พร้อมไมค์ หน้ากากป้องกันแก๊ส หนังสติ๊ก หัวนอต ลูกแก้ว พลุควันสีแบบดึงสลัก และคดีที่ 3 คฝ.จับกุมชายรายหนึ่ง บริเวณถนนราชดำเนินกลาง ก่อเหตุใช้หนังสติ๊กยิงของแข็งใส่เจ้าหน้าที่

ราษฎรอุบลฯบีบแตรไล่เป็นพิธี

สำหรับความเคลื่อนไหวของกลุ่มมวลชนในต่างจังหวัด กลุ่มราษฎรอุบลฯนำโดย ว่าที่ ร.ต.ฉัตรชัย แก้วคำปอด และแนวร่วมประมาณ 10 คน นำรถเก๋งและปิกอัพ 5 คัน ตั้งขบวนเป็นคาร์ม็อบที่บริเวณหน้าป้อมยามหาดพัทยาน้อย ต.คันไร่ อ.สิรินธร พร้อมเปิดไฟและบีบแตรเสียงดังสนั่น โดยมี พ.ต.ท.ประชา แสนโบราณ สารวัตร สถานีตำรวจภูธรคันไร่ นำกำลังคอยเฝ้าสังเกตการณ์ ต่อมานายอภัย วุฒิโสภากร นายอำเภอสิรินธร เข้ามาเจรจา และรับฟังการแสดงจุดยืนให้รัฐบาลรับทราบปัญหาของประชาชนที่กำลังเดือดร้อน เนื่องจากขาดการเหลียวแลในห้วงสถานการณ์โควิด ก่อนทั้งหมดจะพากันเดินทางกลับด้วยความสงบเรียบร้อย

รัวถล่มม็อบแก๊สน้ำตากระสุนยาง ยิงหัวนอต-พลุสู้ มีเจ็บระนาว 2 ฝ่าย (คลิป)

คาร์ม็อบเมืองคอนชูสามนิ้วแห่ไล่

ที่ จ.นครศรีธรรมราช กลุ่มคนคอนไม่ทน นัดรวมตัวเป็นขบวน “คาร์ม็อบ” ทั้งรถ จยย. และรถยนต์รวมกว่า 50 คัน บริเวณริมถนนอ้อมค่าย อ.เมืองนครศรีธรรมราช พร้อมใจกันบีบแตรดังลั่นชู 3 นิ้ว แห่ไปรอบเมืองนครศรีธรรมราช และแวะรวมตัวหน้า สภ.เมืองนครศรีธรรมราช หน้าศาลากลางจังหวัด ถือป้ายข้อความโจมตีรัฐบาล เรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ลาออก โดยมีกำลังตำรวจและ อส. ทั้งในและนอกเครื่องแบบหลายสิบนายสังเกตการณ์ หลังแห่ไปรอบเมืองก่อนสลายตัวในที่สุด

คุมเข้มคาร์ม็อบยะลาไม่มาตามนัด

ส่วนที่ จ.ยะลา กลุ่ม “คาร์ม็อบยะลา” นัดรวมตัวเพื่อชุมนุมขับไล่รัฐบาลที่หน้าป้ายสวนขวัญเมือง สวนสาธารณะเทศบาลนครยะลา โดยมีเจ้าหน้าที่ ตำรวจตั้งจุดสกัดรอบๆบริเวณ และมีรถยนต์ของเจ้าหน้าที่ทหาร กอ.รมน. ภาค 4 สน. และรถเจ้าหน้าที่ตำรวจ ขับวนรอบบริเวณดังกล่าว สุดท้ายเมื่อถึงเวลานัด กลุ่มคาร์ม็อบ จ.ยะลา ไม่มาตามนัดทั่วประเทศแห่ไล่ “ลุง” กันคึกคัก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แนวร่วมกลุ่มมวลชนตามจังหวัดต่างๆทั่วประเทศ อาทิ จ.กระบี่ กลุ่ม “กระบี่ไม่ทน” จ.ปัตตานี กลุ่มคาร์ม็อบปัตตานี จ.ศรีสะเกษ กลุ่มคาร์ม็อบศรีสะเกษ จ.นครพนม กลุ่มคาร์ม็อบนครพนม จ.สกลนคร กลุ่มราษฎรสกลนคร จ.นครราชสีมา กลุ่มโคราชไม่เอาเผด็จการ จ.น่าน เครือข่ายนักเรียนนักศึกษาน่าน จ.เชียงใหม่ กลุ่มมินิด่วนนครพิงค์ จ.เพชรบุรี กลุ่มราษฎรเพชรบุรี ที่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเยาวชนนักเรียน นักศึกษา และประชาชน พากันออกมาจัดชุมนุมเชิงสัญลักษณ์ รูปแบบคาร์ม็อบ เคลื่อนขบวนไปตามสถานที่สำคัญสัญลักษณ์ของจังหวัดต่างๆ ขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ออกจากตำแหน่ง

รัวถล่มม็อบแก๊สน้ำตากระสุนยาง ยิงหัวนอต-พลุสู้ มีเจ็บระนาว 2 ฝ่าย (คลิป)

ฝ่ายค้านจ่อยื่นศาลถอดถอน “ตู่”

ขณะที่นายสุทิน คลังแสง ประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวถึงกรณีศาลแพ่งสั่งคุ้มครองชั่วคราวห้าม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม บังคับใช้คำสั่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ข้อกำหนดฉบับที่ 29 ว่า เป็นการชี้ชัดว่า พล.อ.ประยุทธ์จงใจปฏิบัติหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญชัดเจน ส่งผลให้เกิดความเสียหายกับสังคม ตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์เข้ามาบริหารประเทศละเมิดกฎหมายจนเป็นนิสัย ปล่อยให้ประชาชนสู้กับโควิด-19 โดยจ่ายเงินซื้อวัคซีนเอง ขัดต่อรัฐธรรมนูญ แทนที่ พล.อ.ประยุทธ์จะสำนึกผิด กลับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินปิดปากประชาชนไม่ให้วิจารณ์ จนศาลแพ่งชี้ว่าผิด พรรคเพื่อไทยจะ หารือกับพรรคร่วมฝ่ายค้านในสัปดาห์หน้าว่าจะดำเนินคดี พล.อ.ประยุทธ์ต่อศาลคดีอาญาทุจริตและหารือฝ่ายกฎหมายยื่นถอดถอนออกจากตำแหน่งได้หรือไม่ ก่อนที่ฝ่ายค้านจะนำเรื่องขึ้นศาลคดีอาญาทุจริตและยื่นถอดถอน จะให้ โอกาส พล.อ.ประยุทธ์แสดงความรับผิดชอบ หากเป็นรัฐบาลที่มีสำนึกประชาธิปไตย เมื่อเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ต้องลาออก สาเหตุที่ดำเนินการเรื่องนี้เพื่อสกัดกั้น พล.อ.ประยุทธ์ไม่ให้ใช้อำนาจเหิมเกริม ไม่ยึดหลักนิติรัฐนิติธรรม ทำอะไรตามใจตัวเอง ประหนึ่งประเทศไม่มีขื่อแป

ไม่วางใจหาช่องปิดปากสื่ออีก

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ถ้าปล่อยให้ใช้อำนาจลิดรอนสิทธิเสรีภาพประชาชน ประเทศไทยจะถูกตั้งคำถามจากนานาประเทศ และแม้จะมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวก็ไม่อาจไว้วางใจได้ รัฐบาลอาจหาเครื่องมืออื่นมาลิดรอนสิทธิประชาชนอีก ทุกภาคส่วนต้องช่วยกันจับตาและเฝ้าระวัง ส่วนการชุมนุมของกลุ่มเยาวชนปลดแอก กลุ่มราษฎร หวังว่าทุกฝ่ายจะไม่ใช้ความ รุนแรง โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องไม่บังคับใช้กฎหมายในทางมิชอบ ไม่ใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุปราบปรามผู้ชุมนุม ไม่ปล่อยมือที่สามสร้างสถานการณ์แล้วโยนความผิดให้ผู้ชุมนุม เพื่อจะปราบปราม การเคลื่อนไหวหลายครั้งที่ผ่านมาความรุนแรงไม่ได้เกิดจากผู้ชุมนุม ตำรวจต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดการเผชิญหน้า ต้องอดทนอดกลั้นให้มาก

สขร.สั่งเปิดบัญชี “ประยุทธ์-วิษณุ”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจเฟซบุ๊กสำนักงานคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร (สขร.) เผยแพร่ผลประชุมคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร สาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดิน และการบังคับใช้กฎหมาย คณะ 3 ครั้งที่ 12/2564 เมื่อวันที่ 6 ส.ค. เพื่อพิจารณากรณีมีผู้อุทธรณ์ขอตรวจดูบัญชีทรัพย์สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับสูงฝ่ายบริหาร จำนวน 2 คน กรณีเข้ารับตำแหน่งเมื่อปี 2562 แต่สำนักงาน ป.ป.ช. ปฏิเสธการเปิดเผยโดยให้เหตุผลว่า พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตมาตรา 105 วรรคสี่ ไม่ได้ให้อำนาจไว้ คณะกรรมการวินิจฉัยฯพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้บัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะยื่นไว้เพื่อเป็นหลักฐาน แต่จุดมุ่งหมายสำคัญที่กำหนดให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ก็เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมตรวจสอบความโปร่งใสในการบริหาร ราชการแผ่นดิน ตามหลักการปกครองในระบอบประ-ชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ชี้ ป.ป.ช.มีหน้าที่เปิดเผยต่อ ปชช.

รายงานผลประชุมยังระบุอีกว่า ตลอดจนเป็นการป้องกันปัญหาการทุจริตประพฤติมิชอบและการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์ส่วนรวม ข้อมูลข่าวสารดังกล่าวเป็นข้อมูลข่าวสารสาธารณะที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. และสำนักงาน ป.ป.ช. มีหน้าที่โดยตรงในการเปิดเผยให้ประชาชนรับทราบตามรัฐธรรมนูญมาตรา 243 (3) ประกอบมาตรา 59 รวมถึงประกาศคณะกรรมการ ป.ป.ช. เรื่องหลักเกณฑ์ ขั้นตอนและวิธีการเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ข้อ 7 ดังนั้น ข้อมูลข่าวสารดังกล่าวเปิดเผยโดยให้ผู้อุทธรณ์เข้าตรวจดูได้ตามคำร้องขอ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บุคคลที่ถูกขอให้เปิดเผยข้อมูลคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ กับนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ โดยคณะกรรมการฯที่พิจารณาเรื่องนี้ อาทิ พล.อ.กฤษณะ บวรรัตนารักษ์ ประธานการประชุม พล.ต.ต.ประสิทธิ์ เฉลิมวุฒิศักดิ์ นายพีระศักดิ์ ศรีรุ่งสุจินดา และนายธนกฤต วรธนัชชากุล

ป.ป.ช.ทำยักท่าจะเปิด-ไม่เปิด

นายนิวัติไชย เกษมมงคล รองเลขาธิการกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โฆษก ป.ป.ช. กล่าวว่า คาดว่า พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. จะนำเรื่องดังกล่าวเข้าหารือในที่ประชุม ป.ป.ช. ว่าจะต้องเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินของ พล.อ.ประยุทธ์และนายวิษณุหรือไม่ ต้องพิจารณาข้อกฎหมายว่าคณะกรรมการวินิจฉัยฯยึดกฎหมายฉบับใด มีกฎหมาย ป.ป.ช.รองรับหรือไม่ ถ้า ป.ป.ช.ไปเปิดเผยโดยไม่มีข้อกฎหมายใดรองรับ พล.อ.ประยุทธ์และนายวิษณุอาจฟ้อง ป.ป.ช. ผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ได้ พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารจะคุ้มครองและรับผิดชอบแทน ป.ป.ช.อย่างไร

อ้างกฎหมายไม่ต้องเปิดเผยก็ได้

นายนิวัติไชยกล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารเคยมีคำสั่งให้ ป.ป.ช.เปิดเผยข้อมูลข่าวสารเช่นกัน บางกรณีเปิดเผยให้ แต่บางกรณีก็ไม่เปิดเผย ตาม พ.ร.บ.ป.ป.ช.มาตรา 105 มีเงื่อนไขว่ากรณียื่นบัญชีทรัพย์สิน ถ้าผู้ยื่นพ้นจากตำแหน่งและได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งใหม่ภายใน 1 เดือน ผู้นั้นไม่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินกรณีเข้ารับตำแหน่งใหม่ แต่ไม่ห้ามหากผู้นั้นจะยื่นบัญชีทรัพย์สินไว้เป็นหลักฐาน พล.อ.ประยุทธ์เคยพ้นจากตำแหน่งนายกฯ และเข้ารับตำแหน่งนายกฯหลังเลือกตั้งในช่วงเวลา 1 เดือน จึงไม่เข้าข่ายต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินรอบใหม่ แต่หาก พล.อ.ประยุทธ์ยื่นมาจะถือเป็นการยื่นเพื่อข้อมูลหลักฐานตามมาตรา 105 ถือเป็นข้อมูลส่วนตัวที่ ป.ป.ช.จะเก็บข้อมูลไว้เท่านั้น แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ ส่วนเสียงวิจารณ์ว่า ป.ป.ช.ปกปิดข้อมูลช่วยนายกฯนั้น ขึ้นอยู่กับ
มุมมองข้อกฎหมายแต่ละคน เรื่องนี้ต้องรอที่ประชุม ป.ป.ช.พิจารณาว่าจะเห็นเป็นอย่างไร