นายกรัฐมนตรี ร่วมประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคอย่างไม่เป็นทางการ แลกเปลี่ยน 4 ประเด็นหลัก เน้นฟื้นฟูเศรษฐกิจ เร่งฉีดวัคซีนเพิ่มต้านโควิด-19 และเรียนรู้จัดการความเสี่ยงกับไวรัส
วันที่ 16 ก.ค. 2564 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เข้าร่วมการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคอย่างไม่เป็นทางการ (APEC Informal Leaders’ Retreat) ร่วมกับผู้นำและผู้แทนจากอีก 20 เขตเศรษฐกิจ ผ่านระบบการประชุมทางไกล ซึ่งนิวซีแลนด์เป็นเจ้าภาพในปี 2564 นี้
นายกรัฐมนตรีได้แลกเปลี่ยนและแบ่งปันความคิดเห็นต่อคำถามว่า เขตเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะร่วมมือกันได้อย่างไร เพื่อก้าวผ่านวิกฤติไปด้วยกัน และจะสามารถเร่งการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเพื่ออนาคตที่ดีกว่าได้อย่างไร ใน 4 ประเด็นหลัก ดังนี้
ประการแรก การเข้าถึงและการกระจายวัคซีนที่ปลอดภัยแก่ประชาชนอย่างเป็นธรรม และรวดเร็ว ยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ไทยยินดีขยายความร่วมมือกับทุกเขตเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ไวรัสสายพันธุ์ใหม่มีความรุนแรงจึงมีความจำเป็นต้องฉีดวัคซีนเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน เป็นการตอกย้ำให้ต้องเพิ่มศักยภาพการผลิตและขยายฐานการผลิตวัคซีนให้ครอบคลุมทุกภูมิภาค โดยประเทศไทยมีทีมแพทย์และนักวิจัยไทยที่อยู่ระหว่างการพัฒนาวัคซีนฯ ภายในประเทศชนิดต่างๆ ด้วย ซึ่งบางโครงการมีความก้าวหน้าถึงขั้นตอนของการทดลองในมนุษย์แล้ว
ประการที่สอง การเรียนรู้ที่จะบริหารจัดการความเสี่ยงเพื่อดำรงชีวิตอยู่กับไวรัสในระดับที่ควบคุมได้เพื่อสามารถกลับไปสู่สถานการณ์ปกติได้แบบ New Normal เป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นไทยจึงได้เริ่มเปิดให้มีการเดินทางข้ามพรมแดนใน โครงการ Phuket Sandbox และ Samui Plus Model เพื่อเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ และสำหรับในระยะยาว ไทยเชื่อถือในการมีแนวปฏิบัติด้านการเดินทางร่วมกัน และการยอมรับร่วมกันของเอกสารรับรองการได้รับวัคซีน โดยเฉพาะวัคซีนที่ WHO รับรองให้ใช้ในภาวะฉุกเฉิน เพื่ออำนวยความสะดวกและกระตุ้นการเดินทางและการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ จึงสนับสนุนให้เอเปคพิจารณาดำเนินการเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมโดยเร็ว
...
ประการที่สาม มาตรการช่วยเหลือทางธุรกิจ นายกรัฐมนตรีเห็นว่าควรเน้นผู้ประกอบการ MSMEs และสตาร์ทอัพ เป็นอันดับแรก เพราะเป็นจักรกลสำคัญในการขับเคลื่อนการเจริญเติบโตของภูมิภาค แต่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 มากที่สุด จึงควรสนับสนุนกลุ่มนี้ผ่านข้อริเริ่มที่เป็นรูปธรรม รวมทั้งเสริมสร้างขีดความสามารถในการดำเนินธุรกิจในภายใต้สถานการณ์แบบ New Normal เพื่อจะได้พร้อมรับมือกับแรงกระแทก และวิกฤติในอนาคต
ประการสุดท้าย นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำถึงการมีแนวคิดในการพัฒนาแบบใหม่ การประกอบธุรกิจ และดำเนินเศรษฐกิจโดยให้ความสำคัญกับมนุษย์และสิ่งแวดล้อมโดยคำนึงถึงความพอดี (just right) หรือความสมดุล (balance) ซึ่งไทยนำเสนอโมเดลเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว หรือ BCG Model โดยมีหัวใจคือ ความสมดุลทุกหน่วยเศรษฐกิจ เพื่อลดปัญหาโลกร้อน และภัยธรรมชาติที่รุนแรง ซึ่งในโอกาสนี้นายกรัฐมนตรีขอให้ทุกเขตเศรษฐกิจร่วมมือกันอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อความยั่งยืน
ในการประชุมยังได้รับรองเอกสารผลลัพธ์การประชุมร่วมกัน โดยเอกสารผลลัพธ์นี้เน้นที่การรับมือทางสุขภาพและเศรษฐกิจ ใน 3 หัวข้อหลัก ได้แก่
1. การเจริญเติบโตที่เข้มแข็ง สมดุล มั่นคง ยั่งยืน และครอบคลุม ระบบสาธารณสุขควรยืดหยุ่นเพื่อรับมือกับแรงกระแทกในปัจจุบันและอนาคต กำหนดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและเกื้อหนุนเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง และเน้นเศรษฐกิจที่ส่งเสริมกับการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ
2. นวัตกรรมและการใช้ประโยชน์จากดิจิทัล ใช้นวัตกรรมที่ช่วยให้ประชาชนและภาคธุรกิจกลับมาเข้มแข็ง มีศักยภาพ และโอกาสที่มากขึ้น มุ่งหน้าสู่อนาคตดิจิทัล
3. การค้าการลงทุน เน้นย้ำบทบาทการค้าการลงทุน แลเสริมสร้างการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง โดยตั้งมั่นว่าในปี 2564 นี้ องค์การการค้าโลกจะมีผลลัพธ์เป็นรูปธรรมเพื่อฟื้นฟูวิกฤติทางสุขภาพและเศรษฐกิจ.