ปฏิทินเข้าสู่เดือนกรกฎาคม ผ่านครึ่งปีเข้าสู่ไตรมาส 3 วันเวลาผ่านไปไว แต่นั่นก็ยังช้ากว่าความร้ายกาจของไวรัสมรณะโควิด–19 ที่พัฒนาการความรุนแรง ดุดัน รวดเร็วแบบวินาทีต่อวินาที

อัลฟา เบตา เดลตา เดลตาพลัส วิทยาศาสตร์ทางการ แพทย์ดักสกัดกันไม่ทัน

นั่นไม่ต้องพูดถึงพัฒนาการบริหารจัดการของรัฐบาลไทยภายใต้การนำของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม เหมาบท “ข้าพเจ้ารับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว” แบบเงอะๆงะๆ

เทียบหอยทากกับเสือชีตาร์ ช้ากว่าไวรัสหลายช่วงตัว

ตามเงื่อนไขสถานการณ์แบบที่ล่าสุด ศบค.แบะท่า สารภาพ สัญญาณร้ายการระบาดระลอก 4 จากเชื้อเดลตา โควิด–19 สายพันธุ์อินเดีย แพร่กระจายในหลายจังหวัด คลัสเตอร์ผุดเป็นดอกเห็ดทั่วประเทศ

ตัวเลขคนตายทุบสถิติ “นิวไฮ” ทุกวัน 51–53–57–61 ผวาทะลุหลักร้อยในไม่ช้า ล้อไปกับจำนวนคนป่วยหนักหลัก 2 พันกว่า ใส่เครื่องช่วยหายใจกว่า 500 ราย

คนติดเชื้อ ป่วยเพิ่มรายวันทะลักครึ่งหมื่น

ประเทศไทยทำสถิติไม่น่าจดจำ ล่าสุดตัวเลขคนติดเชื้อรายวันนำอินเดีย เมื่อเทียบอัตราส่วนต่อจำนวนประชากร ก่อนหน้านี้ไทยก็แซงจีนตัวเลขติดเชื้อโควิด–19 สะสมกว่า 2–3 แสน

ยังไม่เห็นแนวโน้มจะลดระดับ หยุดการบุกของไวรัสมรณะ

ความหวังสุดท้ายที่พึ่งเดียวคือวัคซีน ก็ยังหวังไม่ได้ ตามตัวเลขการฉีดกะปริบกะปรอย ยอดรวม 9 ล้านโดส ยังห่างไกลเป้าหมายภูมิคุ้มกันหมู่ ร้อยละ 70 ของประชากรไทย 65 ล้านคน

กับ “วัคซีนทิพย์” ที่นายกฯนับนิ้วโชว์ตัวเลขดีลสารพัดยี่ห้อ แต่ไม่การันตีวัน ว. เวลา น. กำหนดส่ง

...

และยิ่งรู้สึกได้ถึงอารมณ์ว้าเหว่ กับอาการงงๆที่ “เสี่ยหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและ รมว.สาธารณสุข สารภาพติดต่อตัวแทนจำหน่ายวัคซีน “จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน” ไม่ได้ หลังจากที่โชว์ภาพการเจรจาเซ็นสัญญา คุยว่าจะมาไตรมาส 4 ไม่เกินปลายปี

ตอกย้ำสภาพ “บ้อท่า” การจัดหาวัคซีนของรัฐบาลบนหนทางตีบตัน

นั่นไม่แสบทรวงเท่ากับหมอใหญ่ระดับ นพ.บุญ วนาสิน เจ้าของโรงพยาบาลในเครือธนบุรี ออกมาแฉผ่านรายการดังทางทีวี ได้ต่อสายสอบถามผู้ผลิตวัคซีนไฟเซอร์และโมเดอร์นา ถึงสาเหตุความล่าช้า ทั้งที่ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ ได้หมดแล้ว

คำตอบที่ได้คือ ทางการไทยไม่ยอมเซ็นสัญญา

“วัคซีนทิพย์” ล่องลอยในอากาศท่ามกลางความคลุมเครือของรัฐบาล ซึ่งมันไม่ได้อยู่นอกเหนือความสามารถในการอ่านเกมของ “มวยเก๋า” อย่างอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ที่รีบกระโดดขี่คอทีมทหารเฒ่า 3 ป. โชว์กึ๋นในบท “โทน่ี วูดซัมคลับเฮาส์” ขันอาสาเป็นตัวแทน ดีลจัดซื้อวัคซีนให้ทีม “ลุงตู่”

อวดเครดิต “ซุปเปอร์คอนเนกชันระดับโลก”

เบิ้ลบลัฟปมด้อยรัฐบาลทหารเฒ่า ที่ไร้ “ตัวช่วยระดับอินเตอร์” ไม่มีเครดิตดีลกับต่างประเทศ

สาเหตุหนึ่งของวัคซีนล่าช้า ในภาวะประเทศเผชิญสงครามเชื้อโรค ศักยภาพของฝ่ายบริหารไทย เทียบกับประเทศอื่น แม้แต่เพื่อนบ้านที่ด้อยกว่าอย่างลาว มันเป็นตัวชี้วัดชัดเจน

เจอโรคระบาดเหมือนกันทั่วโลก แต่ผู้นำกึ๋นต่างกัน

วิบากของพลเมืองย่อมแตกต่างกัน มันจึงอยู่บนความสมเหตุสมผล กับอาการประชาชนคนไทยที่หดหู่ เลยจุดรวมพลังต่อสู้โควิดไปกับผู้นำรัฐบาล สูญสิ้นศรัทธา แทบไม่เหลือความเชื่อมั่นในตัว “บิ๊กตู่”

โดยเฉพาะล่าสุด ความอดทนมาถึงจุดสิ้นสุดสายป่าน

สถานการณ์แบบที่ พล.อ.ประยุทธ์ โดนกระแสถล่มหนัก ยังมีอารมณ์จ๊ะจ๋า หัวเราะครื้นเครงเฮฮา ในจังหวะยึกๆยักๆกับปมเครียด การล็อกดาวน์กรุงเทพฯ ฮัมเพลง Take Me Home Country Roads บอกไม่ล็อกดาวน์ แค่เตรียมปิดแคมป์คนงานก่อสร้างที่เป็นคลัสเตอร์ระบาด

บ่ายพูดอย่าง แต่กลางคืน “ลักหลับ” ประกาศมาตรการเข้ม จัดเต็มข้อปฏิบัติในการสกัดเชื้อโควิดแพร่ลาม ห้ามนั่งดื่มกินในร้านอาหาร ได้แค่สั่งเอากลับไปกินบ้าน ปิดสปา นวด กิจกรรมเกิน 20 คน

พ่อค้าแม่ค้าตุนของสดเตรียมขาย ระบายไม่ทัน เน่าเสียหาย

สับสนอลหม่าน ทุนหายกำไรหด เงินเก็บก้อนสุดท้ายไม่เหลือ เจ๊งระเนระนาด ร้านอาหารส่วนหนึ่งต้องประกาศเลิกกิจการ เจ้าของร้านกอดคอร้องไห้กับลูกน้อง เพราะไปต่อไม่ไหว

นั่นจึงกลายเป็นที่มาของ # กูจะเปิดมึงจะทำไม แชร์กันกระหึ่ม

อารมณ์พ่อค้า แม่ค้า เจ้าของธุรกิจ หมดความอดทน กับการบริหารจัดการแบบมั่วๆของผู้นำรัฐบาล ยึกๆยักๆสั่งล็อกดาวน์ปิดร้านอาหาร ปิดตลาด ล็อกกิจการ กระทบพวก หาเช้ากินค่ำ

ปิดๆเปิดๆซ้ำแล้วซ้ำอีก เจ็บแต่ไม่จบ

มาตรการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบก็ไม่ตรงตามสภาพความเสียหาย และยิ่งเครียดไปกันใหญ่ ตามฟอร์มแบบที่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ย้อนถามเสียงเรียกร้องผู้ประกอบการร้านอาหาร รัฐบาลออกมาช่วยแล้วใช่หรือไม่ จ่ายเยียวยาร้อยละ 50 ของเงินเดือนช่วยทั้งหมดแล้ว จะเอาอะไรอีก

สะท้อนอาการ “หมดเค้า” รัฐบาลช่วยได้มากสุดเท่าที่จะทำได้แล้ว

แนวโน้มคนหมดหวัง ไร้ที่พึ่ง ประกอบกับมาตรฐานการบริหารของผู้นำรัฐบาลทหารเฒ่าที่เงอะๆงะๆไม่ได้ทำให้เห็นความหวังแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์

ตรงกันข้ามมีแต่โทษประชาชน การ์ดตก ทำเชื้อโรคกระจาย

ทั้งๆที่ประเมินกันจากข้อมูลเชิงสถิติ การเหมาร้านอาหาร สปา นวด เป็นจุดแพร่เชื้อ ยังถือว่าน้อยมากหากเทียบกับคลัสเตอร์ในแคมป์คนงานก่อสร้าง และยิ่งเป็นอะไรที่เห็นถึงความลักลั่น แบบที่ผู้นำประกาศปิดแคมป์คนงานล่วงหน้าเป็นวันๆก่อนส่งทหารมาควบคุม ไม่ทันคนงานหนีกลับต่างจังหวัด

สกัดแบบหลวมๆ เหมือนจงใจปล่อยให้เชื้อกระจายออกนอกเมือง

คลัสเตอร์จากแคมป์คนงานก่อสร้างที่แฝงแรงงานต่างด้าวจากการเข้าเมืองผิดกฎหมาย นำเชื้อมาแพร่กระจาย ความเสี่ยงมันมากกว่าร้านอาหาร นวดสปา ที่ถูกปิดแล้วเปิด เปิดแล้วปิด แค่สัปดาห์เดียว

ไม่แปลกที่อารมณ์สังคมจะพลิกตาลปัตรเป็นอาการต่อต้าน

ซึ่งนั่นคือสัญญาณอันตราย การต่อต้านกฎหมาย คนสิ้นหวัง หมดอาลัยตายอยาก ไม่เกรงกลัวอำนาจที่ไร้ความชอบธรรมจากรัฐบาลที่ถูกตราหน้าว่าบริหารผิดพลาด

การใช้อำนาจสั่งคนโดยไม่มีทางออกชีวิต ย่อมไม่มีใครยอมจำนน

อารมณ์ประชาชนเหมือนกาน้ำกำลังเดือด ไร้รูระบาย ภายใต้เงื่อนไขสถานการณ์ “เดิมพันสุดท้าย” พล.อ.ประยุทธ์ต้องลุ้นหมุดหมายตามการประกาศเปิดประเทศภายใน 120 วัน

ลากคนไทยแบกรับความเสี่ยง รับไฟลท์บินแรก “ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์”

หวังรีสตาร์ตเครื่องยนต์หลัก ฟื้นธุรกิจการท่องเที่ยวนำรายได้เข้าประเทศอุดถังแตก ท่ามกลางเสียงคัดค้านของทีมแพทย์ เตือนได้ไม่คุ้มเสีย ระวังถ้าระบาดใหญ่จะเกินรับมือ

และแค่เริ่มก็ลางไม่ดี เมื่อ “เสี่ยโอ๋” นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดีอีเอส ต้องสวอบเชื้อและกักตัว 14 วัน เพราะนั่งเครื่องลำเดียวกับผู้ติดเชื้อไปภูเก็ต

อดร่วมเฟรมนายกฯในอีเวนต์รับทัวร์จากต่างประเทศ

เหตุการณ์แบบที่รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ร่ำไห้ น้ำตาคลอ ยอมรับสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด–19 ในพื้นที่ กทม.และปริมณฑลตอนนี้วิกฤติ ขาดเตียง ขาดแคลนบุคลากร และไม่สามารถช่วยอะไรได้ โดยสถาน-การณ์โควิดตอนนี้ เป็นสายพันธุ์ที่คุมยาก เริ่มเอาไม่อยู่

กองเชียร์ “บิ๊กตู่” ใจแป้ว นั่นไม่ต้องพูดถึงคนที่เลิกเชื่อมั่นผู้นำ

“120 วันอันตราย” เดิมพันหมดหน้าตัก ที่ พล.อ.ประยุทธ์ซื้อเวลาอยู่หรือไป

ตามสภาพสงครามโควิดต้อนเข้ามุมอับ บีบผู้นำขุมอำนาจ 3 ป. ตั้งรับ ต้องประคองสถานการณ์บนเส้นทางลากยาวไปต่อ ในเกมอำนาจที่ล็อกไว้ในคัมภีร์ซือแป๋มีชัย

กับเชื้อสนิมเนื้อในแทรกเข้าทำลายภูมิคุ้มกันลดลงทุกขณะ

ภาพสภาล่มไม่เป็นท่า เพราะเกมหักกันภายในพรรคร่วมรัฐบาล

อาการแบบที่ค่ายพลังประชารัฐนับร้อยอยู่ในห้องประชุมแต่ไม่กดปุ่มแสดงตัว พรรคภูมิใจไทยซุ่มหลบอยู่ตามซอกหลืบนับสิบ ตามข่าววงใน ด้านหนึ่งเป็นอารมณ์หมั่นไส้นายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯที่ไม่ยอมงดประชุมหลบโควิด อีกมุมเป็นเรื่องการกั๊กคิวโหวต พ.ร.บ.สารพิษฯ ที่ฟัดกันระหว่างภูมิใจไทยกับประชาธิปัตย์

นักการเมืองฟัดกันแย่งผลประโยชน์บนความเป็นความตายชาวบ้าน

เสียงแน่นปึ้กของพรรคร่วมรัฐบาลในสภาเป็นแค่ปริมาณที่ด้อยคุณภาพในเชิงของการทำหน้าที่ผู้แทนราษฎร รักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน

ขณะที่มวลชนด้านนอกสภา จุดติดพรึบพรับ สารพัดกลุ่มยกระดับม็อบกดดันรัฐบาลนัดกันถี่ยิบ

แม่น้ำทุกสายไหลไล่รัฐบาล “บิ๊กตู่” ลงทะเล

ตามรูปการณ์ย้อนแย้งสวนทาง ด้านหนึ่งทีมแห่“บิ๊กตู่” ในสภาเสียงแน่น ปักหมุดลากยาวอำนาจทีมทหารเฒ่าตามพิมพ์เขียวคัมภีร์ซือแป๋มีชัย แต่อีกด้านกระแสนอกสภา ม็อบตีธงหักดิบ ล้อไปกับกระแสสังคมที่หมดศรัทธา ผู้นำรัฐบาลที่บ้อท่าในบริหารจัดการมหาวิกฤติโควิด

ธุรกิจเล็กเจ๊งกระจาย ธุรกิจใหญ่ต่อสาย “ลงขัน” ก่อนพังทั้งกระดาน

สถานการณ์ไหลเข้าเงื่อนไขไฟต์บังคับ “120 วันอันตราย”

เศรษฐกิจสายป่านขาด การเมืองก็สุดทางลาก.

“ทีมการเมือง”