ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ข้อกำหนด ศบค. "มาตรการรองรับการเปิดประเทศ" พื้นที่ "ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์" พื้นที่นำร่อง เริ่ม 1 ก.ค.64 พร้อมขยายไปในพื้นที่อื่นทั่วประเทศ เป็นต้นไป

วันที่ 30 มิ.ย. ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ข้อกำหนด ศบค. ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับ "มาตรการรองรับการเปิดประเทศ" มีผลบังคับใช้วันที่ 1 ก.ค. นี้ หรือการเปิดพื้นที่นําร่องด้านการท่องเที่ยวเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามาจากต่างประเทศ 

โดยข้อกำหนดดังกล่าวชื่อว่า “ข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 26) ลงนามโดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 เป็นต้นไป

มีเนื้อหาโดยสรุปว่า รัฐบาลเล็งเห็นถึงความจําเป็นในการเปิดพื้นที่นําร่องด้านการท่องเที่ยวเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามาจากต่างประเทศ อันจะเป็นประโยชน์ต่อการดําเนินการในภาคธุรกิจท่องเที่ยวและภาคธุรกิจบริการที่เกี่ยวเนื่อง 

ในการนี้รัฐบาลได้เตรียมความพร้อมในการกําหนด มาตรการรองรับและบูรณาการประสานการปฏิบัติระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีการปฏิบัติ ตามมาตรการต่างๆ ภายใต้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างเป็นระบบ และให้การขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจและสังคมสามารถดําเนินการควบคู่กับมาตรการด้านสาธารณสุขได้อย่างมีประสิทธิภาพ นายกรัฐมนตรีจึงออกข้อกําหนดและข้อปฏิบัติแก่ส่วนราชการทั้งหลาย 

มาตรการป้องกันโรคสําหรับผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร การกําหนดพื้นที่ จังหวัดนําร่องด้านการท่องเที่ยว เงื่อนไข เงื่อนเวลา การจัดระบบ หลักเกณฑ์ และมาตรการป้องกันโรค สําหรับผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร 

...

แต่ส่วนที่สำคัญของข้อกำหนดฉบับนี้ระบุอยู่ท้ายคำสั่ง ซึ่งเป็น "มาตรการป้องกันโรคสําหรับผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร" มีรายละเอียดดังนี้

1. การเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรของผู้โดยสารหรือผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร

- ผู้ซึ่งได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรในพื้นที่ที่กําหนดให้เป็นจังหวัดนําร่องด้านการท่องเที่ยว เพื่อประโยชน์ด้านเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว หรือกิจกรรมอื่นๆ ตามนโยบายของรัฐบาล

มาตรการป้องกันโรค

มาตรการก่อนเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร

1. ให้หลีกเลี่ยงพื้นที่เสี่ยงหรือสถานที่ชุมชนไม่น้อยกว่า 14 วัน

2. เดินทางมาจากประเทศ พื้นที่ซึ่ง ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) หรือศูนย์ปฏิบัติการมาตรการเดินทางเข้าออกประเทศและการดูแลคนไทยในต่างประเทศ อนุมัติ ตามหลักเกณฑ์ที่กระทรวงสาธารณสุขกําหนดโดยการเสนอของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และได้มีการลงทะเบียนผ่านระบบหรือเว็บไซต์ที่ทางราชการกําหนด
 

ทั้งนี้ ผู้เดินทางต้องอยู่ในประเทศดังกล่าวเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 21 วัน ก่อนออกเดินทาง เว้นแต่ผู้ที่พํานักอยู่ในราชอาณาจักรซึ่งได้เดินทางออกจากราชอาณาจักรและได้เดินทางไปยังประเทศ พื้นที่ที่ได้รับอนุมัติข้างต้น โดยให้มีเอกสารที่ใช้ในการเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร ดังนี้

- หนังสือที่รับรองว่าเป็นบุคคลที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรได้ (Certificate of Entry-CCE)

- ใบรับรองแพทย์ที่ยืนยันว่าผู้เดินทางไม่มีเชื้อโรคโควิด-19 (Medical Certificate with a laboratory result indicating that COVID-19 is not detected) โดยวิธี RT-PCR โดยมีระยะเวลาไม่เกิน 6 ชั่วโมงก่อนการเดินทาง

- กรมธรรม์ประกันภัยที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพและรักษาพยาบาลหรือหลักประกันอื่นใดซึ่งรวมถึงกรณีโรคโควิด-19  ตลอดระยะเวลาที่ผู้เดินทางอยู่ในราชอาณาจักร ในวงเงินไม่น้อยกว่า 500,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ

- หลักฐานการชําระค่าที่พักและค่าตรวจหาเชื้อโดยวิธี RT-PCR โดยระบุระยะเวลาการเข้าพักไม่น้อยกว่า 14 วัน ในโรงแรมหรือสถานที่พักซึ่งได้ขึ้นทะเบียนตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยกําหนด สําหรับกรณีที่ผู้เดินทางพํานักอยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลาน้อยกว่า 14 วัน ให้มีบัตรโดยสารของสายการบินที่ระบุห้วงระยะเวลาในการเดินทางออกจากราชอาณาจักร หลักฐานการชําระเงินค่าที่พักและค่าตรวจหาเชื้อโดยวิธี RT-PCR ในห้วงเวลาดังกล่าว

- เอกสารหรือหลักฐานรับรองการได้รับวัคซีน (Certificate of Vaccination) ครบตามเกณฑ์ที่ผู้ผลิตวัคซีนกําหนด ซึ่งเป็นวัคซีนที่ได้รับการขึ้นทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยยาหรือได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลกหรือตามที่กระทรวงสาธารณสุขกําหนด เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 14 วัน ก่อนออกเดินทาง 

ทั้งนี้ สําหรับผู้มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ที่ไม่อยู่ในเกณฑ์การได้รับวัคซีนและเดินทางมาพร้อมกับผู้ปกครองหรือผู้ดูแล ให้มีใบรับรองแพทย์ที่ยืนยันว่าผู้เดินทางไม่มีเชื้อโรคโควิด-19 (Medical Certificate with a laboratory result indicating that COVID-19 is not detected) โดยวิธี RT-PCR โดยมีระยะเวลาไม่เกิน 72 ชั่วโมงก่อนการเดินทาง

3. ให้คัดกรองอาการทางเดินหายใจและวัดไข้ ณ ช่องทางเข้าออกระหว่างประเทศของประเทศ/พื้นที่ต้นทาง ก่อนออกเดินทาง (Exit screening) 

มาตรการเมื่อเดินทางถึงระหว่างอยู่ในราชอาณาจักร

1. มาตรการตรวจคัดกรองอาการและการดําเนินพิธีการตรวจคนเข้าเมือง
     

1.1 กรณีเดินทางเข้าราชอาณาจักรโดยสายการบินที่มีเที่ยวบินตรงมายัง ณ ท่าอากาศยานนานาชาติที่ตั้งอยู่ในพื้นที่จังหวัดนำร่องด้านการท่องเที่ยวให้คัดกรองอาการทางเดินหายใจและวัดไข้ และยื่นเอกสารต่อพนักงานเจ้าหน้าที่หรือเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ รวมถึงการดําเนินพิธีการตรวจคนเข้าเมือง ณ ช่องทางเข้าออกระหว่างประเทศ ก่อนเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร
     

1.2 กรณีเดินทางเข้าราชอาณาจักรโดยสายการบินที่ไม่มีเที่ยวบินตรง และต้องเดินทางโดยทางอากาศต่อไปยังท่าอากาศยานที่ตั้งอยู่ในพื้นที่จังหวัดนําร่องด้านการท่องเที่ยว ให้ผู้เดินทางดําเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ ก่อนเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร
         

ก. ให้คัดกรองอาการทางเดินหายใจและวัดไข้ และให้ยื่นเอกสารต่อพนักงานเจ้าหน้าที่หรือเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ รวมถึงการดําเนินพิธีการตรวจคนเข้าเมือง ณ ช่องทางเข้าออกระหว่างประเทศจุดแรกที่มีการเดินทางเข้ามาภายในราชอาณาจักร ก่อนเดินทางต่อไปยังท่าอากาศยานจุดหมายปลายทางที่เป็นพื้นที่จังหวัดนําร่องด้านการท่องเที่ยว
         

ข. ให้คัดกรองอาการทางเดินหายใจและวัดไข้ และให้ยื่นเอกสารต่อพนักงานเจ้าหน้าที่หรือเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ รวมถึงการดําเนินพิธีการตรวจคนเข้าเมือง ณ ช่องทางเข้าออกระหว่างประเทศหรือในพื้นที่ของท่าอากาศยานจุดหมายปลายทางที่เป็นพื้นที่จังหวัดนําร่อง การติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นถึงจํานวน ด้านการท่องเที่ยว

2. ให้ใช้ระบบติดตามหรือติดตั้งแอปพลิเคชันตามที่ทางราชการกําหนด โดยให้เปิดระบบติดตามดังกล่าวไว้ตลอดเวลา เพื่อเฝ้าระวังหรือติดตามอาการระหว่างที่ผู้เดินทางพํานักอยู่ในพื้นที่จังหวัดนําร่องด้านการท่องเที่ยว

3. ให้เดินทางออกจากท่าอากาศยานไปยังโรงแรมหรือสถานที่พักโดยยานพาหนะที่จัดไว้เป็นการเฉพาะ โดยต้องไม่มีการแวะหรือหยุดพัก ณ สถานที่ใดๆ ก่อนถึงโรงแรมหรือสถานที่พัก

4. ให้มีการตรวจหาเชื้อโรคโควิด-19 โดยวิธี RT-PCR ณ สถานที่ที่ทางราชการกําหนด โดยผู้เดินทางรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง ตามหลักเกณฑ์ ดังนี้ 
     

4.1  ให้มีการตรวจหาเชื้อโรคโควิด-19 โดยวิธี RT-PCR จํานวน 3 ครั้ง เมื่อเดินทางมาถึงราชอาณาจักร โดยห้ามเดินทางออกนอกโรงแรมหรือสถานที่พักจนกว่าจะมีผลการตรวจยืนยันว่าไม่มีเชื้อโรคโควิด-19
     

4.2 ให้มีการตรวจหาเชื้อโรคโควิด-19 โดยวิธี RT-PCR เพิ่มเติมจากข้อ 4.1
         

ก. กรณีพํานักอยู่ในราชอาณาจักรไม่เกิน 7 วัน ให้มีการตรวจหาเชื้อ ครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 6-7 ของระยะเวลาที่พํานักหรือตามที่กระทรวงสาธารณสุขกําหนด
         

ข. กรณีพํานักอยู่ในราชอาณาจักรเป็นระยะเวลา 10-14 วัน ให้มีการตรวจหาเชื้อ ครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 6-7 และครั้งที่ 3 ระหว่างวันที่ 12-13 ของระยะเวลาที่พํานักหรือตามที่กระทรวงสาธารณสุขกําหนด

ทั้งนี้ ในกรณีพบว่าผู้เดินทางมีการติดเชื้อโรคโควิด-19 ให้โรงแรมหรือสถานที่พักดําเนินการประสานส่งตัวผู้เดินทางไปยังสถานพยาบาลคู่สัญญาตามแนวทางที่กระทรวงสาธารณสุขหรือทางราชการกําหนดโดยเร่งด่วนเพื่อทําการตรวจหรือรักษาต่อไป โดยผู้เดินทางเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลทั้งหมด หรือเป็นไปตามข้อตกลงเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายระหว่างโรงแรมหรือสถานที่พักกับผู้เดินทาง

5. กรณีผู้เดินทางออกนอกโรงแรมหรือสถานที่พักหลังจากทราบผลการตรวจยืนยันแล้วว่าไม่มีเชื้อโรคโควิด-19 ให้ผู้เดินทางรายงานตัวเมื่อกลับมายังโรงแรมหรือสถานที่พักทุกวันตามคําสั่งของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อหรือตามที่เจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อกําหนด โดยห้ามไปพํานัก ค้างคืนในสถานที่อื่นนอกเหนือจากโรงแรมหรือสถานที่พักที่ได้กําหนดไว้ และให้ปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขที่ราชการกําหนดอย่างเคร่งครัดตลอดเวลาที่พํานักอยู่ในพื้นที่จังหวัดนําร่องด้านการท่องเที่ยว

6. กรณีผู้เดินทางพํานักอยู่ในจังหวัดนำร่องด้านการท่องเที่ยวเป็นเวลาน้อยกว่า 14 วัน ห้ามผู้เดินทางออกนอกพื้นที่จังหวัดนําร่องด้านการท่องเที่ยวเด็ดขาด และเมื่อครบกําหนดระยะเวลาดังกล่าวแล้ว ให้ผู้เดินทางออกนอกราชอาณาจักรทันที

7. กรณีผู้เดินทางพำนักอยู่ในจังหวัดนําร่องด้านการท่องเที่ยวเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 14 วัน ให้สามารถเดินทางออกนอกพื้นที่จังหวัดนําร่องด้านการท่องเที่ยวได้ เมื่อครบกําหนดระยะเวลาดังกล่าวแล้ว
 

มาตรการก่อนเดินทางออกจากราชอาณาจักร หรือ เดินทางออกนอกพื้นที่จังหวัดนําร่องด้านการท่องเที่ยวไปยังพื้นที่จังหวัดอื่นภายในราชอาณาจักร

- ให้ตรวจหาเชื้อโรคโควิด-19 โดยวิธี RT-PCR กรณีประเทศ/พื้นที่ปลายทางกําหนด โดยผู้เดินทางเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย

- ในกรณีผู้เดินทางออกจากพื้นที่จังหวัดนําร่องด้านการท่องเที่ยวไปยังจังหวัดอื่นภายในราชอาณาจักร ให้ผู้เดินทางแสดงหลักฐานการพํานักที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดนําร่องด้านการท่องเที่ยว พร้อมหลักฐานผลการตรวจหาเชื้อโรคโควิด-19 โดยวิธี RT-PCR ตามข้อ 4.2 ข. ต่อพนักงานและการประเมินผล เจ้าหน้าที่หรือเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อของจังหวัดต้นทางและจังหวัดปลายทางตามหลักเกณฑ์หรือแนวทางที่ทางราชการกําหนด