“เพื่อไทย” เตือน “ประยุทธ์” รับมือ “เศรษฐกิจชะงักงัน” จี้ เร่งปล่อยกู้ SMEs 0% ตามที่พรรคเสนอไว้ปีที่แล้ว แนะ กระจายอำนาจเพื่อกระจายการพัฒนา
วันที่ 24 มิ.ย. นายเลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล ส.ส. เลย คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 0.50% ต่อปี แต่ปรับลดคาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ปี 2564 เหลือ 1.8% (ลดลงจากคาดการณ์เดิมที่ 3%) ซึ่งต่ำมากและอาจจะต่ำลงอีกถ้ายังควบคุมการระบาดของไวรัสโควิด-19 ไม่ได้ และปี 2565 จะขยายตัวที่ 3.9% (ลดลงจากคาดการณ์เดิมที่ 4.7%) ซึ่งเห็นชัดว่าเศรษฐกิจไทยยังคงซบเซาและชะลอตัวทั้งใน ปี 64 และ ปี 65 ซึ่งเมื่อรวมกันแล้ว ยังขยายตัวไม่เท่ากับปี 63 ที่ติดลบ -6.1% เลย และก่อนปี 63 เศรษฐกิจไทยก็ยังย่ำแย่อยู่แล้ว โดยปี 62 เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้เพียง 2.4% เท่านั้น ซึ่งต่ำสุดในรอบ 6 ปีก่อนมีการระบาดของไวรัสด้วยซ้ำ ดังนั้นการที่เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ช้าหรือแทบไม่ฟื้นตัวเลย แสดงถึงความล้มเหลวในการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา ตามที่สื่อหลักต่างประเทศ นิเคอิ เอเชีย ได้ลงบทความยืนยันไว้ชัดเจน
อย่างไรก็ตาม เรื่องที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่า คือ ภาวะเงินเฟ้อของโลกที่กำลังจะเกิดขึ้นจากเศรษฐกิจของโลกที่ฟื้นตัว ทำให้ระดับสินค้าและบริการได้เพิ่มขึ้นสูง ราคาเหล็กได้เพิ่มขึ้นสูงมาก ราคาน้ำมันก็เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามความต้องการใช้น้ำมันที่เพิ่มขึ้น ระดับราคาสินค้าในสหรัฐเพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ตามเศรษฐกิจของสหรัฐที่ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ขนาดธนาคารกลางสหรัฐอาจจะต้องขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดกันไว้ และ สหรัฐได้เริ่มที่จะลดวงเงิน QE ลงแล้ว แต่เศรษฐกิจไทยกลับไม่ยังฟื้น ซึ่งในทางเศรษฐศาสตร์ ในภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว มีอัตราการว่างงานสูงเหมือนในปัจจุบัน แต่ต้องมาประสบกับภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งจะทำให้ไทยต้องขึ้นดอกเบี้ยตามอัตราดอกเบี้ยของโลก จะทำให้ประเทศไทยเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจชะงักงัน (Stagflation) ซึ่งอยากจะให้พลเอกประยุทธ์ได้เร่งทำความเข้าใจและหาทางแก้ไขอย่างเร่งด่วน โดยต้องเร่งแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจให้ ฟื้นโดยเร็ว
...
นายเลิศศักดิ์ กล่าวต่อว่า การที่รัฐบาลเริ่มจะเสนอให้ธนาคารปล่อยกู้ 0% ให้กับธุรกิจ SMEs ที่ได้รับผลกระทบ นับเป็นเรื่องที่ดีและถูกต้อง ซึ่งเป็นแนวทางที่คณะทำงานเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยเสนอมาเป็นปีแล้ว เพราะจะช่วยลดภาระของบริษัท SMEs ได้มาก มิเช่นนั้นหลังวิกฤตการณ์โควิดผ่านไปแล้ว บริษัท SMEs เหล่านี้จะไม่สามารถประคองธุรกิจต่อไปได้เพราะหนี้สินที่พอกพูนจากการที่ดอกเบี้ยทบดอกเบี้ยและทบเงินต้นจะไม่สามารถจะทำให้ธุรกิจอยู่รอดได้ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าการที่รัฐบาลเพิ่งจะคิดได้จะสายไปหรือไม่ เพราะในต่างประเทศ รัฐบาลเขาช่วยเหลือทันทีที่มีการระบาดและต้องชัตดาวน์แล้ว แต่แนวทางของประเทศไทยล่วงเลยมากว่า 1 ปีแล้วเพิ่งจะมาคิดได้ ทั้งที่คณะทำงานเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยเรียกร้องเรื่องซอฟต์โลน 0% นี้มาโดยตลอด อย่างไรก็ดี ก็อยากให้รัฐบาลเร่งดำเนินการช่วยเหลือและต้องช่วยเหลืออย่างทั่วถึง ไม่ใช่ช่วยเฉพาะพรรคพวกของตน อีกทั้งอาจจะต้องเลือกว่าธุรกิจใดมีโอกาสรอดได้บ้างด้วยเช่นกัน ดังนั้นจึงอยากให้พลเอกประยุทธ์ได้ศึกษาและคิดล่วงหน้าและถ้าเปิดใจฟังคณะทำงานเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยแต่แรก เศรษฐกิจก็คงไม่ย่ำแย่ขนาดนี้
คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวอีกว่า ในการใช้เงินกู้ ตาม พรบ.กู้เงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ผ่านสภาไปแล้วนั้นให้คำนึงถึงการอัดฉีดเงินเข้าสู่เศรษฐกิจฐานรากโดยการทำโครงการผ่านหน่วยงานภาครัฐ เสนอให้จัดสรรงบประมาณตรงไปที่หน่วยงานที่ใกล้ชิด ประชาชนมากที่สุดคือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แทนการให้ราชการส่วนภูมิภาคเป็นผู้ดำเนินการ เพราะท้องถิ่นมีความพร้อมด้านเครื่องมือและบุคลากร ซึ่งจะทำให้เม็ดเงินของรัฐลงสู่ฐานรากได้เข้าถึงและรวดเร็ว และโดยเฉพาะช่วงนี้ที่รัฐสภา กำลังพิจารณาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็อยากจะเสนอแนวทางให้มีการกระจายอำนาจเข้าสู่ท้องถิ่นให้มากที่สุด
"ทั้งนี้ ประเทศที่ประสบความสำเร็จและเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วส่วนมาก เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา หรือประเทศญี่ปุ่นจะมีการกระจายอำนาจ กันอย่างมาก ซึ่งทำให้ท้องถิ่นมีการพัฒนาเท่าเทียมกับในเมือง ซึ่งจะเป็นการกระจายการพัฒนาพร้อมทั้งการกระจายรายได้ อีกทั้งลดความเหลื่อมล้ำซึ่งไทยได้ติดอันดับ 1 มาแล้ว ตลอด 7 ปีตั้งแต่การปฏิวัติ รัฐบาลพลเอกประยุทธ์มีแต่การรวบอำนาจมารวมกันอยู่กับส่วนกลาง ทำให้การกระจายการพัฒนามีน้อยหรือแทบไม่มีเลย ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่ต้องมีแผนงานในการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง" นายเลิศศักดิ์ กล่าว.