เมื่อวานนี้ผมเขียนขอร้องมหาเศรษฐีของประเทศไทย 15 ท่าน ที่เคยตอบจดหมาย “บิ๊กตู่” เอาไว้ตั้งแต่ปีกลายว่า ยินดีจะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยหลังโควิด-19...โดยยํ้าขอให้ท่านเดินหน้าช่วยต่อไป เพราะปัญหาการระบาดยังคงรุนแรงมาจนถึงระลอก 3 แล้ว ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงแต่อย่างใด

ความเสียหายทางเศรษฐกิจจึงมากกว่าและหนักหนาสาหัสกว่า เมื่อตอนที่ท่านทั้งหลายรับปากบิ๊กตู่ไว้เมื่อเดือนพฤษภาคม 2563 หลายเท่า...และมีความจำเป็นที่ทุกๆท่านซึ่งมีฐานะทางเศรษฐกิจแข็งแกร่งอยู่ในอันดับต้นๆของประเทศจะต้องช่วยกันฟื้นฟูประเทศไทยอย่างสุดความสามารถต่อไปอีก

ถือเป็นโอกาสในการที่จะตอบแทนพระคุณของแผ่นดินที่ท่านได้เติบโตได้อาศัยมาด้วยความร่มเย็นเป็นสุข และประสบความสำเร็จในการประกอบสัมมาอาชีวะ จนได้ชื่อว่าเป็นผู้มีรายได้สูงระดับต้นๆของประเทศ

หลังจากส่งต้นฉบับไปเรียงพิมพ์แล้ว...ผมก็นึกขึ้นมาได้ว่า ประเทศไทยของเรายังจะต้องเดินหน้าต่อไปอีกยาวไกล อีกนานแสนนานในอนาคตข้างหน้า ภาครัฐ ภาคเอกชนยังจะต้องจับมือกันพัฒนาประเทศต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง...ไม่ใช่เพียงแค่จับมือกันฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ทรุดลงเพราะโควิด-19 เท่านั้น

ที่สำคัญ...หากเราดูแนวโน้มของประเทศที่เจริญแล้วทั่วโลก...เราจะพบว่าบทบาทในการพัฒนาประเทศของภาคเอกชนจะมากกว่าภาครัฐด้วยซํ้าเมื่อความเจริญเติบโตของประเทศมาถึงจุดจุดหนึ่ง

แม้บ้านเราก็เห็นได้ชัดเจน...จากการเริ่มต้นพัฒนาโดยมี “ภาครัฐ” เป็นแกนนำในช่วงต้นๆที่เริ่มมีแผนพัฒนาประเทศฉบับที่ 1 พ.ศ.2504 เป็นต้นมา แต่พอมาถึงแผนพัฒนาฉบับที่ 5 (พ.ศ.2525-2529) ภาคเอกชนเริ่มเข้ามามีบทบาทร่วมและก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงยุคนี้ที่ สภาพัฒน์ กำลังเริ่มจะจัดเตรียมแผนพัฒนาฉบับที่ 13 (พ.ศ.2566-2570) และมีการระดมความคิดกันบ้างแล้ว

...

เป็นที่ชัดเจนว่าภาคเอกชนจะต้องเข้ามามีส่วนในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของชาติมากกว่ายุคใดๆนับแต่นี้เป็นต้นไป เมื่อนึกขึ้นมาได้เช่นนี้ ผมก็อยากจะขอร้องมหาเศรษฐีทั้งหลาย เพิ่มเติมไปจากที่ขอไว้เมื่อวาน...คือไม่ใช่เพียงแต่มาร่วมฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด-19 เท่านั้น

อยากจะขอร้องให้ท่านเข้ามาร่วมในการพัฒนาประเทศไทยของเราตลอดไปในอนาคตอันยาวไกลข้างหน้า เมื่อเกิดความคิดเช่นนี้แล้ว ผมก็ถือโอกาสวิเคราะห์อย่างคร่าวๆเท่าที่ผมหาข้อมูลได้ และจากการติดตามประวัติของท่านเศรษฐีเหล่านั้นว่า...แต่ละท่านมีแนวคิดหรือมุมมองต่อ “สังคมไทย” โดยรวมอย่างไร

เข้าใจในบริบทของความเป็นไทยแค่ไหน? พร้อมหรือไม่ที่จะใช้ความสามารถของท่าน ทั้งพลังสมองและพลังทรัพยากรต่างๆ รวมทั้ง ทรัพยากรการเงินด้วย เพื่อเข้าช่วยในการพัฒนา?...โดยเฉพาะในจุดที่ยังเป็นปัญหาของประเทศที่ต้องการความช่วยเหลือมากกว่าจุดอื่นๆ

แน่นอนการเป็นมหาเศรษฐี การเป็นนักธุรกิจระดับต้นๆของประเทศย่อมเป็นที่ชัดเจนว่า ท่านจะต้องเก่งในการค้า เก่งในการทำกำไร ...ท่านจึงมีเงินมีทองก้าวขึ้นมาถึงจุดนี้ได้

แต่เท่าที่ติดตามอย่างห่างๆด้วยการอ่านข่าวคราวหรือเรื่องราวที่เกี่ยวข้องของทุกท่านจากสื่อมวลชนต่างๆ ผมพบว่าในภาพรวมทุกเศรษฐีล้วนมีจิตใจที่เป็นกุศล...รู้จักแบ่งปัน มีการทำบุญและช่วยเหลือสังคมเป็นระยะๆทั้งสิ้น

รวมทั้งการแสดงเจตนารมณ์ที่จะช่วยในการฟื้นฟู กรณีโควิด-19 ครั้งนี้ ก็แสดงถึงความห่วงหาอาทร...มีจิตใจเพื่อพี่น้องชาวไทยที่ประสบทุกข์...ถือว่ามีคุณสมบัติในการช่วยพัฒนาประเทศได้อย่างแน่นอน

แต่ที่ผมประทับใจและเชื่อว่าน่าจะมีส่วนในการ “เติมเต็ม” การพัฒนาประเทศในอนาคตได้อย่างดียิ่ง เพราะได้มาเรียนรู้กับภาคราชการแล้วอย่างใกล้ชิดที่ผมอยากจะเขียนถึงเป็นพิเศษมีอยู่ 2-3 ท่านครับ

แม้ไม่ใช่ตัว “มหาเศรษฐี” ที่มีชื่ออยู่ใน 15 รายชื่อเมื่อวานนี้โดยตรง แต่ก็เป็น “ทายาท” หรือ “เจ้าสัวน้อย” ที่จะขึ้นมารับบทบาททางธุรกิจแทน “เจ้าสัว” และหลายรายเริ่มมีบทบาทชัดเจนแล้ว

อันหมายถึงว่า ในการพัฒนาประเทศจากนี้เป็นต้นไปนั้น “ทายาทเจ้าสัว” เหล่านี้คงจะเข้ามามีส่วนร่วมไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน

พรุ่งนี้...ผมขออนุญาตเปิดตัว “เจ้าสัวน้อย” ความหวังของประเทศ...คนแรกนะครับ.

“ซูม”