กรณีข้อเสนอการบริหารจัดการวัคซีนเชิงรุกของ ผู้ตรวจการแผ่นดิน นำโดย สมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน โดยเสนอให้มีการ ฉีดวัคซีนโควิด-19 เชิงรุก ให้กับกลุ่มด้อยโอกาสและมีความจำเพาะด้านสุขภาพ ให้ประชาชนทุกกลุ่มได้รับวัคซีนอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ที่จะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของประชาชนต่อมาตรการของรัฐในการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่จะส่งผลกระทบต่อระบบสาธารณสุข เศรษฐกิจและสังคมของประเทศตามมา

แนะวิธีการบริหารจัดการ ให้ ศบค. เร่งจัดหา วัคซีนที่มีคุณภาพ ให้ครอบคลุม ทั่วถึง และ ทันเวลาต่อการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาด เพื่อให้ประชาชนได้รับวัคซีนอย่างเร่งด่วน โดยที่ ศบค. ต้องกำหนดให้ภาคส่วนต่างๆเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดหาวัคซีนทางเลือก ศบค. ควรสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดความชัดเจนไม่ก่อให้เกิดความสับสนในการเข้ารับวัคซีน เร่งประชาสัมพันธ์มาตรการเยียวยาอาการไม่พึงประสงค์ รัฐควรเร่งการเข้ารับวัคซีนให้กับบุคลากรทางสาธารณสุข กลุ่มคนที่ขาดศักยภาพที่จะเข้าถึงการบริการหรือข่าวสารของรัฐ กลุ่มที่มีความจำเพาะด้านสุขภาพ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้มีประสิทธิภาพ

ข้อเสนอแนะดังกล่าว ถือเป็นคำเตือนที่สำคัญที่รัฐบาลจะต้องพึงระวังในการทำหน้าที่รับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 เพราะมีช่องว่างหลายจุดที่รัฐจะถูกฟ้องร้องจากประชาชนที่ได้รับผลกระทบได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ในภาวะที่รัฐบาลได้สร้างหนี้สินเอาไว้บานตะไท หนี้เงินกู้เดิม 1 ล้านล้านบาท บวกกับหนี้เงินกู้ใหม่อีก 5 แสนล้านบาท รวมทั้งงบประมาณรายจ่ายปี 2565 อีก 3.1 ล้านล้านบาท

จะเฉไฉว่าต้องใช้หนี้จำนำข้าวไปแล้ว 7 แสนล้านบาท เหลือภาระอีก 2.8 แสนล้าน ต้องใช้หนี้อีก 12 ปีถึงจะหมด กระทบชิ่งไปถึงอดีตนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่ทางออกที่ดี เพราะถ้าจะเอาการเมืองนำทุกอย่าง นำเศรษฐกิจ นำการแพทย์ ในขณะที่ชาวบ้านป่วยตาย อดตาย คำพูดของผู้นำจะกลายเป็นดาบสองคมมาเชือดคอตัวเอง ตัวเลขเงินกู้ 5.6 ล้านล้านบาทในรอบ 7 ปี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถูกตั้งฉายา ราชาเงินกู้บ้าง นักกู้แห่งลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาบ้าง

...

ต้องยอมรับว่า จุดอ่อนของรัฐบาลชุดนี้ คือ ปัญหาด้านเศรษฐกิจ และ การบริหารจัดการในสถานการณ์ฉุกเฉิน อาจจะเป็นเพราะ ระบบ หรือ คน หรือเป็นเพราะทั้งสองอย่าง

จุดแตกหักทางการเมือง ไม่ใช่อยู่ที่การตอบโต้ฝ่ายตรงกันข้ามไปวันๆ แต่ต้องรู้จักสร้างศรัทธาและความเชื่อมั่นจากประชาชนให้ได้ ไม่ว่ารัฐบาลชุดนี้จะพยายามโฆษณาว่า 7 ปีทำอะไรให้ประชาชนไปแล้วบ้าง มีกี่โครงการที่ออกมาช่วยชาวบ้าน เช่น เรารักกัน เราชนะ คนละครึ่ง หรือย้ำว่าเศรษฐกิจของประเทศปีนี้จะโตถึงร้อยละ 2.5-3.5

แต่เสียงตอบรับกลับเงียบสนิท ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามให้คำพูดสร้างจินตนาการอนาคตเศรษฐกิจ ที่จะใช้เวลาฟื้นฟูแค่ 6 เดือน กลับมีคนเห็นดีเห็นงามไปด้วย ฮือฮาเป็นกระแสขึ้นมาทันที ท่านผู้นำก็สมควรที่จะไปทบทวนทั้งระบบ และคนใหม่

มองหาวัคซีนทางรอดให้ตัวเอง.

หมัดเหล็ก
mudlek@thairath.co.th